ทั้งนี้ บริษัทคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 56 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า 100% หรืออยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท จากปี 55 มีรายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายรายได้ในช่วง 3 ปีจากนี้จะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 25% ขณะที่รักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ไม่เกิน 1 เท่าจากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 0.4 เท่า
สำหรับการเติบโตของรายได้ในปีนี้มาจากการเตรียมโอนโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม ไอดีโอ โมบิ จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 6,700 ล้านบาท , โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้พอร์ต AD2 มูลค่า 2,800 ล้านบาท(โดยเน้นโครงการ Ashton — Morph 38) โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ Atoll ทั้ง 7 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการภายใต้แบรนด์ใหม่เอโทลล์ (Atoll) และโครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นแบรนด์ไอดีโอ (IDEO ) ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้าไม่เกิน 300 เมตร
พร้อมกันนี้ ยังเตรียมเปิดแบรนด์ใหม่ คือ เอลลิโอ (ELIO) ที่ยังคงคอนเซ็ปต์คอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า แต่จะมีระยะห่างไม่เกิน 600 เมตรจากสถานี โครงการแรก คือ ELIO สุขุมวิท 64 ที่กำลังจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในต้นเดือนมี.ค.นี้ กลุ่มเป้าหมายเป็นวัยเริ่มต้นทำงานที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางและมีรูปแบบชีวิตแบบคนเมืองรุ่นใหม่โดยสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นซึ่งมีราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท
ส่วนแผนการลงทุนในปี 56 บริษัทเตรียมเงินลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นซื้อที่ดิน 5,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการก่อสร้างสำหรับโครงการเดิมและโครงการใหม่โดยยังคงมุ่งเน้นในทำเลใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก และยังมองหาโอกาสซื้อที่กินในทำเลเหมาะสมที่จะเปิดโครงการใหม่คือ ELIO เพิ่มเติมอีก
“เชื่อมั่นว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่ติดรถไฟฟ้า จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากผู้บริโภค เพราะมีความสะดวกสบายในการเดินทางและใช้ชีวิต ซึ่งอนันดาฯมุ่งเน้นโครงการใกล้แนวรถไฟฟ้าอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าจะได้รับการตอบรอบที่ดีอย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็มุ่งเน้นโครงการเมกะโปรเจ็กต์และมีแผนงานที่จะพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าและเปิดสถานีใหม่อย่างต่อเนื่อง"นายชานนท์ กล่าว
นายชานนท์ ยอมรับว่า ยังไม่พอใจกับราคาหุ้น ANAN ณ ปัจจุบัน เพราะมองว่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งหน้าที่ของผู้บริหารก็จะต้องพยายามชี้แจงและให้ข้อมูลกับนักลงทุนให้เข้าใจธุรกิจของบริษัทอย่างถูกต้อง โดยล่าสุดได้มีการให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ไปแล้ว และอยู่ในระหว่างการเดินสายโรดโชว์กับนักลงทุนต่างประเทศ เริ่มจากฮ่องกงและสิงคโปร์ตามคำเชิญของซีไอเอ็มบี จากนั้นอาจจะร่วมกับโบรกเกอร์ต่างประเทศไปโรดโชว์ในแถบยุโรป สหรัฐ และญี่ปุ่น
แต่บริษัทไม่มีนโยบายซื้อหุ้นคืนในตลาด เพราะมองว่าไม่ใช่หน้าที่ของบริษัท อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วก็อาจจะเข้าไปลงทุนในหุ้น ANAN เพิ่มเติมหากมีจังหวะที่ดี