(เพิ่มเติม) HEMRAJ ตั้งเป้าปี 56 รายได้โต 2 หลัก-ยอดขายที่ดิน 1.6 พันไร่,งบลงทุน 5 ปี 4 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 6, 2013 14:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการ บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) ประกาศแผนลงทุน 5 ปี (ปี 56-60) จำนวน 4 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนปีนี้ 8 พันล้านบาท ใน 4 กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัท ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม บริการสาธารณูปโภค พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์

นอกจากนี้ บริษัทได้เริ่มพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเหมราช ชลบุรี 2 เนื้อที่ 640 ไร่ ซึ่งจะรองรับลูกค้าเช้ามาก่อสร้างโรงงานได้ในปลายปี 56

สำหรับรายได้ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโตตัวเลข 2 หลัก ขณะที่ได้ประเมินยอดขายที่ดินไว้ที่ 1,600 ไร่ ลูกค้าใหม่ 50 ราย สัญญาที่ดินและโรงงานใหม่ 80 ฉบับ

ทั้งนี้ ปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากบริการสาธารณูปโภค 2 พันล้านบาทเติบโต 20%จากปีก่อน โดยครอบคลุมบริการเกี่ยวกับน้ำ ตั้งแต่การผลิตน้ำประปาจนถึงการบริการบำบัดน้ำเสีย ซึ่งสามารถทำรายได้สัดส่วน 22% ของรายได้รวม

การบริการสาธารณูปโภคจะได้รับแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการได้แก่ การขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรมที่จะส่งผลความต้องการด้านสาธารณูโภคเพิ่มขึ้น และความต้องการพื้นฐานด้านการบริโภคของลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เหล็ก ปิโตรเคมี และการผลิตไฟฟ้า ตั้งแต่น้ำดิบ น้ำประปา และน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม จนถึงระบบการจัดการน้ำเสียและบำรุงรักษา

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก(SPP) 7 แห่ง โดยแต่ละโครงการมีกำล้งการผลิต 120 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้า SPP ที่ร่วมก้บบริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด มีกำลังการผลิต 126 เมกะวัตต์ โดยบริษัทถือหุ้นสัดส่วน 25.01% ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในช่วงกลางปี 56

ทั้งนี้ บริษัทได้รับเงินปันผลจากการลงทุนโรงไฟฟ้า คิดเป็น 8% ของรายได้ และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเท่าตัวภายใน 5 ปี

ในส่วนอัตราการเติบโตของกำไรในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และจะเติบโตขึ้นมากกว่าอัตราการเติบโตของรายได้รวม ซึ่งคาดว่าจะเติบโตประมาณ 20% เนื่องจากปีนี้ จะมีสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการไฟฟ้าเข้ามาบันทึกป็นกำไรสุทธิ โดยคาดว่าจะรับรู้กำไรจากโครงการไฟฟ้าเข้ามา 1,400 ล้านบาท/ปี โดยจะรับรู้เป็นระยะเวลา 8 ปี

ปัจจุบันบริษัทฯ มี Backlog ประมาณ 3,600 ล้านบาท โดยที่ปีนี้คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จาก Backlog ได้ 2 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมด ในขณะเดียวกัน มองว่าบริษัทยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการที่จะขยายธุรกิจไปอย่างมั่นคงก่อนในขั้นต้น

"กำไรขั้นต้นในช่วง 9 เดือนของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 46% กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 36% ซึ่งเป็นระดับที่น่าพึงพอใจ ถ้าหากมีการให้เช่าโรงงานมากกว่านี้ อัตรากำไรก็จะเพิ่มสูงขึ้น และในปีนี้ก็จะมีกำไรส่วนแบ่งจากโครงการไฟฟ้าซึ่งจะมีบุ๊คเข้ามาเป็นกำไรสุทธิเลย จะทำให้อัตรากำไรเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าจะมากกว่าการเติบโตของรายได้รวม ในส่วนของเป้าหมายของยอดขายที่ดินปีนี้ต่ำกว่าเป้าปี 55 ที่ทำได้ทั้งปีที่ 2,317 ไร่ แต่เราก็พร้อมที่จะปรับเป้ายอดขายได้อีก จากปี 55 ที่ตั้งไว้ที่ 1,500 ไร่ แต่ทั้งปีก็ปรับขึ้นไป 2,317 ไร่ ซึ่งในปีนี้ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกก็ได้"นายเดวิด กล่าว

นายเดวิด กล่าวว่า ในอนาคตรายได้ของบริษัทฯ จะมีสัดส่วนรายได้มาจากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าโลจิสติกส์มาเป็นอันดับหนึ่ง และรายได้อันดับสองจะเป็นธุรกิจด้านพลังงาน และอันดับสามเป็นธุรกิจด้านสาธารณูปโภค

สำหรับแผนการลงทุน 4 หมื่นล้านบาทในระยะยาวนั้น จะแบ่งเป็นลงทุนในปี 56 จำนวน 8,000 ล้านบาท โดยจะแบ่งเป็นงบซื้อที่ดิน 1,500 ล้านบาท พัฒนานิคมอุตสาหกรรม 2,000 ล้านบาท ไฟฟ้าและสาธารณูปโภค 1,000 ล้านบาท สร้างโรงงานสำเร็จรูป และคลังสินค้าโลจิสติกส์ 2,500 ล้านบาท และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยเงินที่ใช้ลงทุนทั้งหมดส่วนหนึ่งจะมาจากเงินหมุนเวียนภายในบริษัทฯ และเงินจากการออกหุ้นกู้ พร้อมกันนี้บริษัทคาดว่าจะปรับราคาที่ดินขึ้นอีก 5-10% จากปี 55 ที่มีการปรับขึ้นไปประมาณ 20%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ