ปีนี้ตั้งเป้างบลงทุนที่ 20-40 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับซื้อเครื่องจักร การบำรุงรักษา และการเพิ่มไลน์การผลิตสินค้าใหม่ในต่างประเทศ ทั้ง อินเดีย สโลวาเกีย
ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทเพราะบริษัทมีรายได้และรายจ่ายเป็นดอลลาร์ มี Natural Hedge ดอลลาร์ ราว 80-90% แล้ว เพราะยอดขายในประเทศไทยน้อยมากไม่ถึง 5%
"ปี 55 ยอดขายในครึ่งปีแรกไม่ค่อยดี แต่มากระเตื้องขึ้นใน 6 เดือนหลังจากออสเตรเลีย เลยทำให้ทั้งปีขึ้นมา ส่วนปี 56 มองเทรนด์ยังเป็นอย่างนี้ คือ ยุโรปไม่ค่อยดี แต่ได้ทางออสเตรเลียเข้ามาช่วย" นายอนุสรณ์ กล่าว
ในปี 55 บริษัทจ่ายปันผลผู้ถือหุ้น 2.40 บาท/หุ้น ถือว่าสูง เพราะบริษัทมีเงินสดในมือมากกว่า 10,000 ล้านบาท และปีนี้ไม่ต้องลงทุนหนัก เมื่อคำนวณแล้วเพียงพอสำหรับการลงทุนในอนาคต เราจึงจ่ายปันผลสูง ส่วนปี 56 ถ้าไม่มีการลงทุนมากก็จะยึดหลักการเดิมจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในระดับที่น่าพอใจ
ส่วนในปี 57 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตปีละ 5-10% และกำไรจากการบริหาร 10% ใน 3 ปีข้างหน้า โดยสินค้าที่จะเป็นหลัก คือ ผลิตภัณฑ์โซล่าเซลล์ ออโตโมทีฟ เทเลคอม โดยตลาดหลักยังเป็นยุโรป สหรัฐฯ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเชื่อว่าปีนี้ตลาดอาเซียนยังน่าสนใจ
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในอนาคตบริษัทจะหันมาบุกตลาดอาเซียนรวมทั้งในประเทศมากขึ้น เพราะรัฐบาลไทยมีการลงทุนเมกะโปรเจกค์จำนวนมาก และถ้ามีรถไฟความเร็วสูง หรือรถใต้ดิน ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะขายได้มากขึ้นในอีก 4-5 ปีข้างหน้าที่จะต้องใช้ระบบไฟฟ้าต่างๆเข้าสู่ระบบ แต่ในช่วงแรกเป็นเรื่องของการเจาะอุโมงค์หรือระบบรางไปก่อน
บริษัทจะยังคงเน้นขายสินค้าที่มีคุณภาพ ระดับไฮเอนด์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ซึ่งสินค้าใหม่ๆ จะผลิตที่โรงงานสโลวาเกีย และจะไม่ลงมาแข่งด้านราคาในระดับล่าง