สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 4.5 ปี) LB145B (อายุ 1.3 ปี) และLB121DA (อายุ 8.9 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 25,822 ล้านบาท 24,133 ล้านบาท และ 18,243 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13509B (อายุ 91 วัน) CB13307A (อายุ 28 วัน) และ CB13226A (อายุ 14 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 35,598 ล้านบาท 31,430 ล้านบาท และ 29,014 ล้านบาท ตามลำดับ
ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT138A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 1,829 ล้านบาทหุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น THAI165A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 820 ล้านบาท และ หุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด (มหาชน) รุ่น MPSC146A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 554 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงในทุกช่วงอายุของตราสารหนี้ ในช่วง -2 ถึง -12 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงในทุกช่วงอายุของตราสารหนี้ ในช่วง -2 ถึง -12 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) จากกระแสเงินทุนที่ยังไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของไทยจนทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าสุดในรอบ 17 เดือน ทั้งนี้แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P 1 วัน) ที่ระดับร้อยละ 2.75 ต่อปี จะเป็นระดับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยระบุว่าเหมาะสมสำหรับสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยแล้วก็ตาม แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศที่กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของตนเอง อย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 0.25 ต่อปี หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่น ที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละศูนย์ ส่วนต่างที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นแรงกดดันที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องใช้นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความน่าดึงดูดใจในการเข้ามาเก็งกำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยและค่าเงิน แม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะเป็นตัวเร่งให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจก็ตาม และจากเหตุผลทั้งหมดนี้ ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบถัดไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการตัดสินใจด้านนโยบายอย่างไร
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานตัวเลขเงินเฟ้อของเดือนมกราคม 2556 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.39 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงขึ้น ตามราคาอาหารและเครื่องดื่มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในปี 2556 กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดกรอบของอัตราเงินเฟ้อไว้ในช่วง ร้อยละ 2.80 — 3.40 หรือเฉลี่ยตลอดทั้งปีที่ร้อยละ 3.0 และมองว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 อัตราเงินเฟ้อของไทยจะขยายตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.3
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 30,622 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการซื้อสุทธิ 4,242 ล้านบาท ทางด้านของนักลงทุนรายย่อย ในสัปดาห์นี้มียอดซื้อสุทธิ 77 ล้านบาท