นางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายบัญชีและการเงิน MK กล่าวว่า กล่าวว่า ในปี 56 คาดว่ากำไรจะเติบโตได้มากกว่า 70% ตามการเติบโตของรายได้ที่คาดว่าอยู่ที่ 70% และยอดขายที่คาดว่าอยู่ที่ 3 พันล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 60% จากปี 55 ที่มียอดขายที่ 1.8 พันล้านบาท ซึ่งลดลง 10% จากปี 54 เนื่องจากความไม่มั่นใจจากเหตุการณ์น้ำท่วม และปัญหาการก่อสร้างล่าช้าทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้เสร็จตามเป้าหมาย และส่งผลให้รายได้ปี 55 ทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3 พันล้านบาท
"ในปีนี้คาดว่ากำไรจะเติบโตได้มากกว่า 70% สูงกว่าการเติบโตของรายได้เนื่องจากเรามี fixed cost ไว้อยู่แล้ว จึงไม่กระทบกำไร ส่วนปีหน้า คาดว่ากำไรจะเติบโตเข้าสู่ภาวะปกติเช่นเดียวกับรายได้ที่มีอัตราเติบโตมากกว่า 20-25%...มั่นใจว่าปีนี้รายได้จะตามเป้าหมาย จาก backlog ที่มีอยุ่ 1.3 พันล้านบาท และรายได้จากการขายใหม่อีก 1.7 พันล้านบาท" นางสาวชุติมา กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น โดยจะเพิ่มสัดส่วนคอนโดมิเนียมจาก 30% เป็น 50% หรือมีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม 4-5 โครงการ/ปี เนื่องจากความต้องการยังมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่จะมีมาร์จิ้นน้อยกว่าโครงการแนวราบ ซึ่งจะทำให้ในปี 57 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) จะลดเหลือ 37-38% จากปี 56 ที่ Gross margin อยู่ที่ 38-39% ใกล้เคียงปีก่อน
"ปี 55 เป็นปีที่ขลุกขลัก จากปีก่อนที่น้ำท่วม ทำให้ลูกค้าไม่มั่นใจ...ปีนี้คงรอดูเหตุการณ์น้ำท่วมน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากปลายปีก่อน ความมั่นใจลูกค้าน่าจะกลับมา 70-80%"นางสาวชุติมา กล่าว
สำหรับปี 56 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม ออกัส เจริญกรุง-พระราม 3 มูลค่าโครงการ 520 ล้านบาท เปิดขายในไตรมาส 2/56 โครงการทาวน์โฮม ชวนชื่นโมดัส วิภาวดี มูลค่าโครงการ 1.7 พันล้านบาท เปิดขายในไตรมาส 3/56 โครงการทาวน์โฮม ลีออง สุขุมวิท 62 มูลค่าโครงการ 430 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/56 และโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ชวนชื่น พระราม7-สิรินธร มูลค่าโครงการ 312 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/56
บริษัทได้จัดงบจัดซื้อที่ดินปีนี้ที่ 1 พันล้านบาท เพื่อเตรียมซื้อที่ดิน 4-5 แปลงในการพัฒนาโครงการใหม่ เป็นงบซื้อที่ดินสูงกว่าปีก่อนที่ใช้งบ 600 ล้านบาท และจะปรับขึ้นราคาขายอีกไม่ถึง 10% ตามต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงาน แต่เป็นการปรับขึ้นที่น้อยกว่าปีก่อนที่มีการปรับขึ้นไปแล้ว 10%
นอกจากนั้น ปีนี้บริษัทยังมีแผนระดมเงินโดยการออกหุ้นกู้ อายุไม่เกิน 2 ปี รวมถึงออกตั๋วบีอี วงเงินรวมไม่เกิน 1.5 พันล้านบาท จะทยอยออกในช่วงครึ่งหลังปี 56 เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการควบคู่กับการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำ ที่ 0.46 เท่า
ด้านนายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร MK กล่าวว่า ในปีนี้มองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีแนวโน้มสดใส เนื่องจากเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี คาดว่าอยู่ที่ 5% อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ระดับต่ำที่ 3% และยังมีโครงการลงทุนภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และดอกเบี้ยที่อยุ่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และผลกระทบการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น และสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่มีแนวโน้มเติบโตสูงจนอาจกระทบต่อความสามารถในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทได้มีการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน คือการประสานงานกับกรมแรงงาน จัดหาแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้น การจัดฝึกอบรมพนักงานเพื่อเป็นช่วงฝีมือแรงงาน และการปรับราคาค่าก่อสร้างให้ผู้รับเหมา