การดำเนินการขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ในกรุงพนมเปญครั้งนี้เป็นรูปแบบการจัดตั้งโฮล์ดิ้งภายใต้ชื่อ"เมเจอร์ อินเตอร์เนชั่นเนล" ซึ่งร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น โดยบริษัทฯถือหุ้นมากกว่า 50% ที่เหลือเป็นของพันธมิตร โดยเงินที่ใช้จัดตั้งมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ
"การเปิดโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล๊กซ์ ที่อิอ อนมมอล์ กรุงพนมเปญในครั้งนี้ เป็นการรุกธุรกิจโรงภาพยนตร์ครั้งแรกของเมเจอร์ในต่างประเทศ ซึ่งเราได้เล็งเห็นศักยภาพของศูนย์การค้าอิออน มอลล์ ประกอบกับทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยมอยู่ใจกลางกรุงพนมเปญ และปริมาณผู้ชมภาพยนตร์ในประเทศกัมพูชาที่เป็นวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก ซึ่งเป็นลูกค้าเป้าหมายหลักของเราในต่างประเทศ และราคาตั๋วในกัมพูชาที่ถูกกว่าในประเทศไทยอยู่ที่ 100-110 บาท ทำให้จะดึงดูดผู้ชมจากในประเทศกัมพูชาเข้บมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก" นายวิชา กล่าว
ส่วนแผนระยะยาวของบริษัทฯตั้งเป้าขยายโรงภาพยนตร์ทั้งในและต่างประเทศให้เป็น 600 โรงภาพยนตร์ภายในปี 58 ซึ่งโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยจะมีการเปิดแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก 1 แบรนด์ นอกเหนือจากแบรนด์ในเครือปัจจุบัน และขยายโรงภาพยนตร์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียนเพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน(AEC) ซึ่งทำเลต่อไปมองไว้ที่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา รวมไปถึงพม่า, ลาว, โฮจิมินท์และฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความคุ้มค่าของการลงทุนและมองหาพันธมิตรที่เข้าไปเปิดศูนย์การค้า
นายวิชา กล่าวว่า ในปี 56 บริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% จากปี 55 เนื่องจากมีแผนการขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มกว่า 100 โรง โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีโรงภาพยนตร์มากกว่า 500 โรง จากปัจจุบันมีอยู่ 410 โรง โดย 400 โรงจะเป็นระบบดิจิตอลตั้งอยู่ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อีกทั้งยังเพิ่มเลนโบว์ลิ่งในประเทศอย่างน้อยอีก 40 เลน และขยายเลนโบว์ลิ่งในอินเดียเพิ่มเป็น 200 เลน จากปัจจุบันอยู่ที่ 74 เลน โดยจะใช้เงินลงทุนทั้งหมด 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 150-200 ล้านบาทสำหรับการลงทุนในอินเดีย
นอกจากนั้น การที่รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นในปีนี้มาจากการที่บริษัทฯมีภาพยนตร์ในเครือที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งภาพยนตร์ดีๆจะออกมาในช่วงไตรมาส 2/56 และไตรมาส 3/56 ซึ่งบริษัทฯมีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของภาพยนตร์ไทยกลับคืนเป็น 45% จากปี 55 ภาพยนตร์ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 35% และจะมาจากยอดจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ไทยของโรงภาพยนตร์ต่างจังหวัดที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นกว่าภาพยนตร์ต่างชาติ
ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศ นายวิชา กล่าวว่า น่าจะเติบโตประมาณ 15-20% จากการที่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศมีการขยายจำนวนโรงภาพยนตร์มาก และมีปริมาณของภาพยนตร์ทั้งในและต่างประเทศเข้ามาฉายมากขึ้น อีกทั้งตลาดต่างจังหวัดยังมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในกรุงเทพฯตามการขยายห้างสรรพสินค้าและดิสเคาน์สโตร์ต่างๆในต่างจังหวัด
ส่วนราคาตั๋วชมภาพยนตร์ปี 56 คาดว่าส่วนใหญ่ยังไม่มีการขึ้นราคา โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 145 บาท/ที่นั่ง แต่อาจจะมีการปรับขึ้นราคาเฉพาะบางโรงภาพยนตร์ที่มีการเพิ่มค่าเช่าพื้นที่