ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 35.79 จุด หรือ 0.26% แตะที่ 13,982.91 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.9 จุด หรือ 0.06% แตะที่ 1,520.33 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 10.38 จุด หรือ 0.33% ปิดที่ 3,196.88 จุด
นักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากตลาดปรับตัวขึ้นเป็นเวลาหลายวันก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนตัวลงต่ำกว่าระดับ 14,000 จุด นอกจากนี้ นักลงทุนยังไม่ให้น้ำหนักกับการแถลงนโยบายประจำปีของประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งทำให้ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน
ประธานาธิบดีโอบามาได้แถลงนโยบายประจำปีซึ่งตรงกับช่วงเช้าวานนี้ตามเวลาไทย โดยกล่าวว่าเขาจะให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน ด้วยความพยายามที่จะสนับสนุนชนชั้นกลางและภาคสาธารณะ พร้อมกับกล่าวว่าจำนวนชนชั้นกลางที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นและความก้าวหน้าของชนชั้นกลาง จะเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกขยายตัวเพียง 0.1% แตะที่ระดับ 4.166 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. ซึ่งชะลอตัวลงจากที่ขยายตัว 0.5% ในเดือนธ.ค. เนื่องจากมาตรการขึ้นภาษีและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลง ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจขยายตัว 0.1% สู่ระดับ 1.623 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. ซึ่งต่ำกว่าเดือนพ.ย.ที่ขยายตัว 0.2% และถือว่าขยายตัวช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว
หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (GE) พุ่งขึ้น 3.6% หลังจากทางบริษัทตกลงขายหุ้นที่เหลืออยู่ใน NBC Universal มูลค่า 1.67 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กับบริษัทคอมคาสท์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเคเบิลทีวีรายใหญ่ของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม หุ้นคอมคาสท์ดิ่งลง 2.98%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเน็ทฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 4.7% หุ้นอเมซอนพุ่งขึ้น 4.2%
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปปรับตัวลง 0.8% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ขยับลง 0.9% และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 0.6%