วัตถุประสงค์เพื่อนำงินที่ได้จากการเสนอขายไปใช้ขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลของบริษัท, ใช้ลงทุนในการผลิตก๊าซชีวภาพ(Bio Gas), ใช้ลงทุนสร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพ, ใช้ลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อย เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ และนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ บริษัทฯมีความประสงค์จะนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS)เดิมชื่อ บริษัท เกษตรไทยอุตสาหกรรมน้ำตาล จำกัด หรือรู้จักในนามกลุ่มไทยเอกลักษณ์ ปัจจุบันแบ่งได้เป็น 2 ธุรกิจย่อย คือ ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ จำแนกได้เป็น น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์, น้ำตาลทรายขาว และน้ำตาลทรายดิบ
นอกจากนี้ ยังทำธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น กากน้ำตาล และชานอ้อย เข้าสู่กระบวนการผลิตในบริษัทย่อย โดยเป็นธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย, ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเอทานอล, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯงวด 9 เดือนสิ้นสุด 30 ก.ย.2555 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 2,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2554 ที่มี 751.1 ล้านบาท จากความสามารถของบริษัทฯในการทำราคาส่งออกน้ำตาลทรายล่วงหน้าได้ในระดับที่ดี
ณ วันที่ 1 ม.ค.2556 บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 3,274,573,000 บาท และทุนเรียกชำระแล้ว 3,274,573,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 32,745,730 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท และเมื่อ 28 ม.ค.2556 ได้เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้เป็นหุ้นละ 1 บาท ส่งผลให้หุ้นสามัญของบริษัทเพิ่มจากเดิมเป็น 3,274,573,000 หุ้น
หลังเสนอขาย IPO บริษัทฯจะมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้นเป็น 3,888 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญชำระแล้ว 3,860 ล้านหุ้น
ปัจจุบันบริษัทฯมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดคือ นางหทัย ศิริวิริยะกุล ถือหุ้น 2,361,960,000 หุ้น หรือคิดเป็น 72.1% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 60.8% และบริษัทฯจะมีการปรับโครงสร้างหลังจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยผู้ถือหุ้นใหญ่สุดหลังปรับโครงสร้างฯจะเป็น บริษัท หทัยจรูญเอกโฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 1,360.80 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 35% รองลงมาเป็นบริษัทร่วมทุน ถือหุ้น 972 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 25% ส่วนนางหทัย ศิริวิริยะกุล จะถือหุ้นลดเหลือ 29.16 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 0.8%
ทั้งนี้ บริษัทฯมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ ที่เหลือหลังจากหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภท