ในปี 56 บริษัทยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระดับ"ไฮเอนด์" อย่างต่อเนื่อง โดยจะยังคงมุ่งเน้นการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่มีศักยภาพทางธุรกิจ (prime location) ใจกลางกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิเช่น การลงทุนซื้อที่ดินเพื่อสร้างคอนโดมีเนียมบนถนนหลังสวน ใกล้กับสวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร เพื่อจัดทำโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท และลงทุนซื้อที่ดินบนหัวหินซอย 112 อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อจัดทำโครงการบ้านพักตากอากาศจำนวน 120 หลัง มูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อได้ภายในต้นปีนี้
โครงการใหม่จะมุ่งเน้นตอบสนองลูกค้ากำลังซื้อสูง ที่ต้องการที่พักอาศัยหรือบ้านพักตากอากาศระดับไฮเอนด์ ที่มั่นใจได้ในมาตรฐานการก่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพงานแบบ ซีโร่ ดีเฟ็คท์ (Zero Defect) การเลือกผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง และงานออกแบบระดับเวิลด์คลาส บนทำเลที่ดีที่โดดเด่นสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก
ปัจจุบัน บริษัทฯมียอดขายรอโอน(backlog)กว่า 5,500 กว่าล้านบาท และคาดว่าจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ประมาณกว่า 500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะรับรู้ฯ ทั้งหมดภายในปี 58 ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะเมื่อโครงการมหานครสร้างเสร็จ ซึ่งโครงการดังกล่าวมียอดขายแล้วกว่า 47% ของมูลค่าโครงการ ขณะที่ในเดือน มี.ค.56 บริษัทจะไปโรดโชว์เพื่อขายโครงการมหานครที่ประเทศดูไบ หลังจากประสบความสำเร็จจากการไปโรดโชว์ที่ฮ่องกงสามารถขายได้ 863 ล้านบาท
นายสรพจน์ กล่าวว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 56 ยังคงมีทิศทางในเชิงบวกและสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม การขยายโครงการเส้นทางคมนาคมและโครงการขนส่งมวลชนระบบราง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงและท้าทายได้แก่ ค่าจ้างขั้นต่ำ ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
“อสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์มีผู้ซื้อที่ถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มที่มีลักษณะพิเศษ ที่แม้อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่คงน้อยมาก โดยผลกระทบต่างๆ จะไม่ถือเป็นปัจจัยสำคัญและจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อในขั้นสูงสุด นอกจากนี้ ผู้ที่พัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ยังมีอยู่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับโครงการระดับอื่นๆ ซึ่งเพซเป็นหนึ่งในชื่อที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มลูกค้าอยู่แล้วและเชื่อมั่นว่า เพซอยู่ในตำแหน่งที่ยังได้เปรียบอยู่มาก"นายสรพจน์ กล่าว
สำหรับมุมมองตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะส่งผลบวกกับภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยโดยเฉพาะตลาดบน เพราะชาวต่างชาติที่จะสามารถเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ก็จะเป็นคนในกลุ่มไฮเอนด์ที่กำลังมองหาที่พักอาศัยหลังที่ 2 และการซื้อเพื่อลงทุน รวมถึงการย้ายออฟฟิศของบริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งอยู่ในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นฐานในการขยายธุรกิจในอาเซียน เพราะไทยมีที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี