ตลท. ประกาศปรับแนวทางการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ Cash Balance เพื่อป้องกันความเสียหายของผู้ลงทุนในภาวะที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งราคาและปริมาณการซื้อขายในช่วงเวลาสั้น นับตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2556 เป็นต้นมา โดยปัจจุบันพบว่ามีหลักทรัพย์ที่อยู่นอก SET 50 มีสัดส่วนการซื้อขายเกิน 50% ตั้งแต่ต้นปีนี้ เทียบจากปี 2555 อยู่ที่ 36% และหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) เกิน 40 เท่า รวมกว่า 100 หลักทรัพย์ รวมถึงสัดส่วนผู้ลงทุนรายบุคคลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 62 % จาก 50 % ในปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ยังมีจำนวนหลักทรัพย์ที่มีอัตราหมุนเวียนสูง และมีราคาไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทซึ่งเข้าเกณฑ์ Cash Balance เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากตลอดทั้งปี 2555 มีจำนวน 50 หลักทรัพย์ เทียบกับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีจำนวนถึง 44 หลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูงขึ้นอย่างมาก
การปรับแนวทางดังกล่าว ได้แก่ กำหนดให้สมาชิกขยายเวลาให้ลูกค้าซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยบัญชี Cash Balance เป็น 6 สัปดาห์ จากเดิมที่กำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 3 สัปดาห์ นับตั้งแต่หลักทรัพย์เข้าเกณฑ์ Cash Balance โดยแนวทางที่กำหนดนี้ให้มีผลใช้กับหลักทรัพย์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศเข้าเกณฑ์ Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2556 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ตลท.ยังได้ขอความร่วมมือสมาชิกให้ดูแลหรือให้คำแนะนำผู้ลงทุนในการลงทุนหรือตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูงโดยคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์และติดตามข้อมูลเพื่อประกอบการลงทุนจากแหล่งข้อมูลที่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เช่น รายชื่อหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ Turnover List ของสำนักงานก.ล.ต. และหลักทรัพย์ที่ต้องซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
มาตรการ Cash Balance คือ การให้สมาชิกดำเนินการให้ลูกค้าทำการซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance โดยต้องซื้อขายด้วยเงินสด 100 % และไม่ให้กู้ยืมเงินในการซื้อหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายเกณฑ์ Cash Balance โดยมีการเปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายตามเกณฑ์ดังกล่าวทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ที่ www.set.or.th