ในปี 56 บริษัทตั้งงบลงทุนในการซื้อที่ดินไว้ 900-1,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันปี 56 นี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำไร สุทธิอยู่ที่ 15 % ส่วนกำไรขั้นต้นที่ 38-39%
สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้ นายไชยันต์ คาดว่าจะมีเปิดโครงการใหม่ ประมาณ 8 -10 โครงการ มีมูลค่าโครงการทั้งหมด 4,000 ล้านบาท จะแบ่งเป็นเปิดครึ่งปีแรก 50% ครึ่งปีหลัง 50% โดยจะเน้นในส่วนของที่อยู่อาศัยแนวสูงอย่าง คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น โดยจากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 15% แต่คาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 20%— 25% ทั้งนี้เนื่องมาจากความต้องการที่อยู่อาศัยแนวสูงที่เพิ่มมากขึ้น
"ปัจจัยที่สนับสนุนให้ธุรกิจอสังหาฯ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และอัตราดอกเบี้ยก็ยังอยู่ในระดับต่ำ การขยายโครงการเส้นทางก่อสร้างคมนาคม และโครงการขนส่งมวลชน โดยเฉพาะระบบรางสำหรับรถไฟฟ้าซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหา ฯประกอบกับค่าแรงที่มีการปรับตัวสูงขึ้น และการลงทุนจากภาครัฐที่จะมีมูลค่าสูงกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ในขณะเดียวกัน ราคา ข้าว อ้อย และ ยาง ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ประชาชนมีกำลังซื้อที่มากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี " นายไชยยันต์ กล่าว
ทั้งนี้ ราคาขายอาจจะมีการปรับตัวขึ้นบ้างจากค่าแรงเพิ่มขึ้น 3-7% ที่ดินเพิ่มขึ้น 10 % และวัสดุก่อสร้าง ปรับตัวสูงขึ้น 5-7 % ประกอบกับค่าจ้างผู้รับเหมาที่ปรับตัวสูงขึ้น จากที่ปี 55 ปรับขึ้น 3 ครั้ง และปี 56 นี้ก็จะมีการปรับขึ้นเป็นครั้งแรกแล้ว จึงส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ อาจจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง แต่บริษัทก็จะพยายามที่จะปรับตัวขึ้นให้น้อยที่สุด
ขณะเดียวกันในปี 57 นายไชยยันต์ กล่าวว่า จะบริหารให้มีอัตราการเติบโตของบริษัทฯอยู่ที่ 20% แต่มีความกังวลเรื่องของ Fund flow ของต่างชาติ ที่มีเข้ามามากในปัจจุบัน หากมีการนำเงินออกจากประเทศกลับไปหลังจากที่ เศรษฐกิจของต่างชาติปรับตัวดีขึ้น จะส่งผลให้ดอกเบี้ยในไทย ปรับตัวสูงขึ้นโดยเร็ว อาจจะเป็นผลกระทบต่อประชาชนได้