ส่วนธุรกิจชิปปิ้งในปีนี้ยังขาดทุน เพราะดัชนีค่าระวางเรือ(BDI) ในไตรมาส 1/56 ของบริษัทเฉลี่ยที่ 7,540 เหรียญ/ลำ/วัน โดยจะถึงจุดคุ้มทุนที่ระดับ 9,000 เหรียญ/ลำ/วัน และคาดว่าค่าระวางเรือจะกลับมาสู่ภาวะปกติที่ระดับ 12,000 - 13,000 เหรียญ/ลำ/วันในปลายปี 57
ทั้งนี้ แนวโน้มค่าระวางเรือที่คาดว่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติในปลายปี 57 กรรมการผู้จัดการ TTA ประเมินจากอุตสาหกรรมเหล็กของโลกจะกลับมามีความต้องการเติบโตอีกครั้ง โดยเฉพาะจีน ที่กำลังการผลิตเหล็กสูงสุดในโลก ปีนี้มีการผลิต 800 ล้านตัน ซึ่งจะมีการนำเข้าสินแร่เหล็กจำนวนมาก และการขนย้ายถ่านหินป้อนโรงไฟฟ้า รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการเกษตร
"โดยรวม 3 ธุรกิจจะสามารถ offset ธุรกิจของธุรกิจชิปปิ้งได้ เพราะไตรมาส 1 เห็นผลแล้ว และทั้งปีก็น่าจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ถ้าราคาน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติไปได้ดี ธุรกิจเมอร์เมดก็จะดีตาม ส่วนการขายปุ๋ยของบาคองโกในเวียดนาม ก้ยังดีต่อเนื่อง กำไรทำ Record ส่วน UMS คาดว่าจะเปิดคลังสินค้าที่สวนส้มในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ ก็น่าจะทำให้ผลประกอบการปีนี้น่าจะดีขึ้น" ม.ล.จันทรจุฑา กล่าว
โดยธุรกิจเมอร์เมด คาดว่าปีนี้ รายได้และกำไรจะเติบโตสูงขึ้นมาก จากสัญญาการให้บริการที่จะรอรับรู้รายได้ในปีนี้จำนวน 200 ล้านเหรียญ และยังมี backlog รวมที่รอรับรู้รายได้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า จำนวนเกิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และเรือขุดเจาะสามารถทำงานได้เร็วขึ้นหลังปัจจุบันได้รับมอบเรือเร็วกว่ากำหนดกว่า 1 เดือน ประมาณ 2-3 ลำ ทำให้รับรู้รายได้เร็วกว่าที่คาด
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมยื่นประมูลโครงการโรงไฟฟ้า(IPP) ในอินโดนีเซีย คาดจะเปิดประมูลกลางปี 56 ซึ่งบริษัทจะร่วมกับพันธมิตรธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย ทั้งนี้ หากประมูลได้ จะทำให้สามารถนำถ่านหินจากแหมืองที่ร่วมทุนกับพันธมิตรป้อนโรงไฟฟ้าได้ทันที
สำหรับเม็ดเงินจากการเพิ่มทุน จำนวน 6,372 ล้านบาท บริษัทคาดจะได้รับเงินในกลางเดือน มี.ค. 56 และบริษัทมีแผนซื้อเรือมือสองคุณภาพดี ซึ่งจำนวนเรือที่จะซื้อขึ้นกับโอกาส โดยมองว่าปีนี้ยังมีโอกาสเข้าซื้อเรือมือสองดังกล่าว
"ปี 2015 (ปี 2558) ค่าระวางเรือจะไปได้ดี น่าจะเป็นปีทองของ TTA และตามแผนจะพิจารณาลงทุนเรือขุดเจาะเพิ่ม เมื่อนั้นธุรกิจทั้ง 4 ขาเดินได้เต็มสูบจากปลายปี 57 ที่เริ่มเห็น และรับรู้เต็มปีในปี 58" ม.ล.จันทรจุฑา กล่าว