ในปี 56 บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโต 10% มาที่ 2,300 ล้านบาท ส่วนกำไรปี 56 น่าจะสูงกว่าปี 55 เพราะยอดขายเพิ่มขึ้นขณะที่ต้นทุนคงที่ ขณะเดียวกันก็จะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 20-25%จากปีก่อน ประกอบการปีนี้จะมีการซื้อเครื่องจักรใหม่ ประสิทธิภาพในการผลิตจะดีขึ้น
"ปีนี้ตั้งเป้าขยายตัว 10% เป็นไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งปัจจุบันเรามีงานในมือรอรับรู้รายได้แล้ว 600 ล้านบาท และแต่ละปีการไฟฟ้าจะมีเปิดประมูล ตอนนี้รอประกาศเปิดประมูลของการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ที่จะเปิดไตรมาส 1/56 นี้ เราก็จะเข้าร่วมประมูลด้วย และเปิดอีกครั้งในไตรมาส 3/56 "นายดนุชา กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนปี 56-57 จำนวน 100-150 ล้านบาท สำหรับซื้อเครื่องจักรใหม่อีก 2 เครื่อง ในการขยายกำลังการผลิตอีกปีละ 10% รองรับยอดขายที่โตขึ้น โดยจะซื้อเครื่องตัดเหล็ก ปีละ 1 เครื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มากขึ้น
ส่วนราคาขายปีนี้คงไม่ปรับเพราะสินค้าของบริษัทมีราคาสูงอยู่แล้วเพราะมีคุณภาพสูง ซึ่งหม้อแปลงของเอกรัฐยังครองส่วนแบ่งการตลาด อันดับ 1 ที่ 25% จากมูลค่าตลาดรวม 8,000 ล้านบาท ลูกค้าหลักการไฟฟ้าทุกภาคส่วนและภาคเอกชนที่เป็นผู้รับเหมาไฟฟ้ารายใหญ่
สำหรับการขยายตลาดต่างประเทศเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) นั้น ปัจจุบัน บริษัทมีการจำหน่ายสินค้าเข้าไปในอาเซียน ได้แก่ ลาว เนปาล พม่า อยู่แล้ว ยกเว้นอินโดนีเซีย โดยสัดส่วนรายได้เป็นขายในประเทศ 90% ต่างประเทศ 10% ซึ่งแบรนด์เอกรัฐเป็นที่รู้จักดีในกลุ่มประเทศอาเซียน ต่อไปก็จะขยายตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ พม่ากำลังเปิดประเทศ น่าจะมีความต้องการใช้หม้อแปลงไฟฟ้ามากขึ้น บริษัทมองเป็นโอกาส
ส่วนธุรกิจผลิตแผงโซลาร์เซลล์ นายดนุชา กล่าวว่า บริษัทกำลังรอดูนโยบายของรัฐบาลว่าจะยังส่งเสริมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ต่อเนื่องหรือไม่ ถ้าไม่ส่งเสริมคงต้องพิจารณาขายธุรกิจนี้ออกไป