ทั้งนี้ เปอร์ตามีน่า ได้คัดเลือกจาก 3 ราย คือ PTTGC เกาหลี และ ญี่ปุ่น
ขณะที่ในมาเลเซียความร่วมมือกับปิโตรนาสคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 3/56 จากเดิมที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปกลางปี 56
นายอนนต์ กล่าวว่า การลงทุนเพื่อขยายฐานการผลิตใหม่ ได้แก่ ในอินโดนีเซีย คาดจะผลิตแครกเกอร์ 1 ล้านตัน/ปี และจะผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 5 พันล้านเหรียญ
ส่วนในจีน ช่วงแรกจะเปิดตลาดเพิ่มเข้าไปโดยนำสินค้าของ PTTGC ร่วมเปิดตลาดในจีนเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่ และร่วมมือสนับสนุนลูกค้า รวมให้คำปรึกษาด้านเทคนิคต่างๆ ซึ่งบริษัทจะเน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม(High Value Specialty:HVS) ขึ้นในตลาดก่อน และตามมาด้วยการสร้างโรงงานใหม่
ส่วนในมาเลเซีย ร่วมกับปิโตรนาสในโครงการ ได้แก่ การผลิตโพลีคาบอเนต โพลียูริเทน ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดโครงการ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปี (56-60) ที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทช่วง 5 ปีจำนวน 2.5 พันล้านเหรียญฯ หรือปีละ 500 ล้านเหรียญฯ และอีก 2,000 ล้านเหรียญฯ มาจากการออกหุ้นกู้ซึ่งบริษัทได้ระดมทุนผ่านหุ้นกู้สกุลดอลลาร์แล้ว 1,000 ล้านเหรียญฯ อายุ 10 ปี และคาดว่าจะออกหุ้นสกุลดอลลาร์อีกช่วงปลายปีนี้หรือปลายปีหน้า (57) อายุ 10 ปี และ 30 ปี
ทั้งนี้ การลงทุนจะกำหนดไม่ให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่เกิน 0.7 เท่า จากการลงทุน 4.5 พันล้านเหรีญในช่วง 5 ปี หากมาทั้ง 3 โครงการบริษัทจะพิจารณาลงทุน ขณะที่ส่วนเงินทุนสามารถจัดหาเพิ่มเติมได้จากงบ 5 ปี จากผลดำเนินงาน และเงินกู้
"การเข้าลงทุนฐานการผลิตใหม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เราเข้าไปไม่ใช่ไปขาใหญ่ ต้องดูว่าลงทุนส่วนไหน" นายอนนต์ กล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของ EBITDA Margin ในช่วง 5 ปี (56-60) จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-6% และในปี 60 จะสูงกว่า 15-30% แม้ไม่มีการลงทุนใหม่แต่จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการลงทุนและมีการขยายส่วนขอขวด รวมทั้งประสิทธิภาพดีขึ้นจากการควบรวมกิจการ
"ใน 5 ปีเราเน้น EBITDA growth เฉลี่ย 5-6% สิ้นปีที่ 5 เราจะโตกว่า 15-30% ด้านรายได้ growth ไม่น่าสูงเพราะเราไม่มีกำลังผลิตใหม่เข้ามา" นายอนนต์ กล่าว
ในปีนี้ (56) คาดทั้งรายได้และกำไรสุทธิจะดีกว่าปี 55 ที่ธุรกิจปิโตรเคมีปรับลงต่ำสุด เนื่องจากเห็นสัญญาณบวกจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้นโดยคาดว่าแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ MEG และ พาราไซลีน (PX) ในช่วงครึ่งปีแรกน่าจะดี