ส่วนกำไรสุทธิปีนี้คาดว่าจะเติบโตจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.76 พันล้านบาท เนื่องจากในปีนี้บริษัทใช้เงินลงทุนน้อยกว่าปีก่อน และปีนี้การเก็บภาษีนิติบุคคลลดลงเหลือ 20%
สำหรับแผนงานในปีนี้ บริษัทจะมีการเริ่มทดลองทีวีระบดิจิตอลในเดือนเม.ย.นี้ โดยรับชมครอบคลุมในกรุงเทพและปริมณฑล เป็นเวลา 6 เดือน นอกจากนี้บริษัทจะร่วมเข้าประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิตอล 2 ช่อง
"ในส่วนของช่องดิจิตอล HD อยู่ระหว่างดูว่าราคาประมูลจะสูงมากไหม จะคุ้มกับที่เข้าไปประมูลหรือไม่ โดยถ้าหากว่าราคาไม่แพงมากก็จะเข้าไปร่วมประมูล แต่ถ้าแพงมากอาจจะกลับไปทำทีวีดาวเทียมเหมือนเดิม ซึ่งมองว่าราคาเริ่มต้นน่าจะสูงว่าทีวีดิจิตอล 2-3 เท่า"นายเจษฎา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าราคาเริ่มต้นประมูลทีวีดิจิตอลอยู่ที่ ประมาณ 500 ล้านบาทต่อช่อง
นายเจษฎา กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนจำนวน 5 พันล้านบาทในช่วง 3 ปี (ปี 56-58) เพื่อนำไปเตรียมพร้อมการเข้าสู่การประมูลทีวีดิจิตอล, สร้าง MCOT City ซึ่งคาดในไตรมาส 2/56 จะมีความชัดเจนออกมา และคาดจะเริ่มสร้างได้ในปี 57 โดยจะใช้เงินลงทุนของอสมท.ประมาณ 1 - 1.5 พันล้านบาทส่วนที่เหลือจะหาพันธมิตรเข้าร่วมทุนโครงการนี้
นอกจากนี้ บริษัทจะลงุทนโครงข่ายส่งสัญญาณระบบทีวีดิจิตอล มูลค่าลงทุน 3 พันล้านบาท โดยบริษัทคาดจะหาพันธมิตรร่วมทุน 4 ราย ซึ่งจะทำให้บริษัทใช้เงินลงทุนไม่ถึง 1 พันล้านบาท ขณะนี้ บมจ.ทีโอที ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรแล้ว ส่วนอีก 2 ราย คือ ไทยพีบีเอส และ สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือช่อง 11 อยู่ระหว่างเจรจา ซึ่งใกล้ได้ข้อสรุป อีกทั้งบริษัทจะเริ่มเจรจาบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วย
ด้านนายอเนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ MCOT กล่าวว่า ภาพรวมโฆษณาปี 56 คาดว่าจะมีการเติบโต 10% โดยกลุ่มสินค้าที่ใช้เม็ดเงินโฆษณา เป็นกลุ่มบริการสาธารณะหลังภาครัฐเร่งลงทุนในระบบขนส่งมวลชน และการบริหารจัดการน้ำ กลุ่มโทรคมนาคมซึ่งจะเปิดให้บริการ 3G ในปีนี้ รวมทั้งกลุ่มค้าปลีกที่มีการขยายสาขาไปต่างจังหวัด ขณะที่กลุ่มรถยนต์คาดว่าจะใช้เม็ดเงินโฆษณาลดลงในปีนี้ อย่างไรก็ตาม อุตสหากรรมในปี 56 ได้รับผลกระทบเศรษฐกิจจากสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ซื้อสื่อ หรือเจ้าของสินค้า ที่เป็นบริษัทข้ามชาติ และมีแนวโน้มที่จะใช้เม็ดเงินโฆษณาลดลง