"ปีนี้คาดว่ากำไรสุทธิจะสูงกว่าปีก่อน เพราะปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและคาดราคาจะขยับขึ้นได้ อีกทั้งปีนี้บริษัทจะขุดถ่านหินจากเหมืองของเราเองออกขายได้มากขึ้น ซึ่งการขุดถ่านจากเหมืองขายเองมาร์จินจะสูงกว่าการเทรดดิ้ง โดยมาร์จินจากเหมืองอยู่ที่ 25-30% ซึ่งปีนี้จะขุดถ่านจากเหมือง 3.5 ล้านตัน หรือคิดเป็น 45% และเทรดดิ้ง 4.5 ล้านตัน หรือ 55% ซึ่งก็จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นขยับสูงกว่าปีก่อนที่ 20.44% และอัตรากำไรสุทธิขยับขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่ 12.2% อีกทั้งโอเวอร์เฮดของเราไม่สูงด้วยทำให้การบริหารอัตรากำไรสุทธิทำได้ดีขึ้น" นายขจรพงศ์ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินราว 70 ล้านตัน แบ่งเป็น เหมืองเดิมที่อินโดนีเซียเหลือ 5-6 ล้านตัน เหมืองใหม่ที่พม่า 30 ล้านตัน และเหมืองที่อินโดนีเซียที่เพิ่งไปซื้อมาราว 30-40 ล้านตัน ซึ่งจะเพียงพอขายได้อีก 10 ปี แต่บริษัทก็จะต้องหาไปเรื่อยๆ โดยตั้งเป้าใน 5 ปีข้างหน้า (56-60) จะมีปริมาณสำรองที่ 200 ล้านตัน ทำให้จะต้องหาซื้อเหมืองเพิ่มอีก 3 เหมือง ซึ่งกำลังเจรจาอยู่ที่อินโดนีเซีย ปริมาณสำรองแห่งละ 40 ล้านตัน ในราคาเหมืองละ 120 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับเหมืองในในพม่าคาดว่าจะสามารถขุดถ่านหินออกมาขายได้กลางปี 56 เป็นต้นไป ส่วนเหมือง HARYNIAGA ในอินโดฯที่อยู่ระหว่างดีลราคาและการสวอปหุ้นคาดว่ากระบวนการจะเสร็จก่อน ส.ค.นี้ ซึ่งจะต้องประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติในราคาราว 4,200 ล้านบาท เมื่อสรุปได้ ใช้เวลาอีก 1 ปี ในการเข้าไปขุดถ่านหินออกมาขายเนื่องจากเป็นเหมืองใหญ่ ก็คาดว่าปลายปี 57 จะขายได้และเริ่มรับรู้รายได้
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่าเจรจากับผู้ประกอบการกัมพูชาที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 300 เมกะวัตต์ ซึ่งก็จะไปขายถ่านหินให้กับโรงไฟฟ้าดังกล่าว คาดสรุปผลได้อีก 6 เดือน นอกจากนี้ ก็จะขายรีเทลในกัมพูชาด้วย ขณะเดียวกันในอนาคตบริษัทเตรียมขยายตลาดรีเทลอุตสาหกรรมรายย่อย ใน 5 ประเทศได้แก่ อินโดนีเซีย อินเดีย กัมพูชา จีน ไทย เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มรายได้
และในเดือนเม.ย.เตรียมเดินสายโรดโชว์ยุโรป เริ่มจากปารีส เจนนิวา ซูลิก รูกาโน แฟรงเฟริส ลอนดอน เพื่อให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบัน