สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 4.3 ปี) LB155A (อายุ 2.2 ปี) และLB145B (อายุ 1.2 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 29,435 ล้านบาท 21,533 ล้านบาท และ 12,638 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น CIMBT217A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 1,002 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รุ่น PTTC15OB (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 787 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท โฮลซิม แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น HCT15NA (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 649 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในทุกช่วงอายุของตราสารหนี้ หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1 — 2 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมายังค่อนข้างนิ่งต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า หลังจากที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามากระทบตลาด อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับข่าวการยุติมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆของสหรัฐฯและยุโรปที่ประกาศออกมาล่าสุด มีแนวโน้มในเชิงบวกมากขึ้น จึงมีผลทำให้นักลงทุนบางส่วนปรับพอร์ตเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้นักลงทุนยังคงจับตาผลการเจรจาตัดลงงบประมาณรายจ่าย (Sequestration) ของสหรัฐฯ ว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้อย่างไร รวมไปถึงจับตาดูผลการเลือกตั้งในอิตาลี ที่สร้างความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของยูโรโซนได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 21,160 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการซื้อสุทธิ 8,481 ล้านบาท ทางด้านของนักลงทุนรายย่อย มียอดซื้อสุทธิ 333 ล้านบาท