ดัชนี Stoxx 600 พุ่งขึ้น 1.8% ปิดที่ 294.11 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2551
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3787.19 จุด บวก 77.43 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 7870.31 จุด บวก 178.63 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6431.95 จุด บวก 86.32 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นเนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่าธนาคารกลางสหรัฐจะยังคงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อไปเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเจเน็ต เยลเลน รองประธานธนาคารกลางสหรัฐระบุว่า เฟดควรดำเนินโครงการซื้อพันธบัตรเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อไป ขณะเดียวกันก็จัดการรับมือกับต้นทุนและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการดังกล่าว
ขณะที่นายฮารุฮิโกะ โนดะ ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) กล่าวว่า เขาจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อขจัดภาวะเงินฝืดที่ญี่ปุ่นเผชิญมาอย่างยาวนานถึง 15 ปี ด้านธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ซึ่งจะประชุมกันในวันพฤหัสบดีนี้ ก็ได้รับการคาดหมายว่าอาจจะส่งสัญญาณถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค หลังจากข้อมูลที่มีการเปิดเผยในสัปดาห์ที่แล้วแสดงให้เห็นว่า ภาคการผลิตของยูโรโซนหดตัว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานของสถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) ซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.0 ในเดือนก.พ. จากระดับ 55.2 ในเดือนม.ค. ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 55.0
หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่งขึ้น 3.2% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 6.88 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 6.84 พันล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตรถยนต์ปรับฐานขึ้น โดยหุ้นเฟียต พุ่งขึ้น 5.9% หุ้นเรโนลท์ พุ่งขึ้น 3.9% และหุ้นพอร์ช ปรับตัวขึ้น 3.9%