อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายได้จากยอดขายในปีนี้จะลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้ 7.6 พันล้านบาท แต่ก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงทั้งจากการนำเข้าสินแร่ และต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เป็นต้นทุนหลัก โดยบริษัทจะเพิ่มชั่วโมงการผลิตกลางคืน(off peak)มากขึ้น เนื่องจากค่าไฟฟ้าต่ำกว่ากลางวัน
บริษัทยังคาดว่าปีนี้ถึงจุดคุ้มทุน(Breakeven) จากปี 55 ขาดทุน 590 ล้านบาท หลังจากในปีก่อนมีการตั้งสำรองจากการประเมินมูลค่าเงินลงทุนในการสำรวจเหมืองแร่เดิมทุกแห่งทั้งในเหมืองเมาคลี อ.อุ้มผาง ติดชายแดนพม่า และเหมืองในลาว รวมทั้งสำรองค่าใช้จ่ายอื่น จำนวน 260 ล้านบาท
แต่เริ่มมีสัญญานที่ดีในไตรมาส 4/55 หากไม่นับรวมรายการสำรองดังกล่าวจะมีกำไรสุทธิ 1 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มราคาสังกะสีในตลาดโลก(LME)ดีขึ้นโดยปัจจุบันราคาอยู่ที่ 2,100 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงขึ้นจากปีก่อนที่ราคาเฉลี่ย 1,951 เหรียญสหรัฐ/ตัน และคาดว่าราคาสังกะสีโลกจะดีขึ้นในช่วง 5 ปีนี้(ปี 55-59)ตามความต้องการใช้ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากจีน ตะวันออกกลาง บราซิล อินโดนีเซีย คาดว่าราคาจะขึ้นไปที่ระดับ 2,500 เหรียญสหรัฐ/ตันในช่วงปี 58-59 และบริษัทได้ขายล่วงหน้าไปแล้ว 15,600 ตัน ในราคา 2,100 เหรียญสหรัฐ (อัตราแลกเปลี่ยน 30.8 บาท/เหรียญ)
อีกทั้งบริษัทจะเพิ่มสัดส่วนการการผลิตอัลลอยล์ (Zinc alloy)เป็น 50% จากปีก่อนมี 42% ซึ่งมีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ดีกว่าสินค้าสังกะสีบริสุทธิ์(Zinc ingot)
ขณะที่บริษัทจัดหาวัตถุดิบในแหล่งใหม่ โดยบริษัทได้ติดต่อว่าจ้างขุดสินแร่สังกะสีในตุรกีซึ่งมีคุณภาพใกล้เคียงกับแร่ในเหมืองแม่สอด คาดว่าจะใช้เงินราว 75-100 ล้านบาทเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดหน้าเหมือง โครงการนี้ใช้เวลา 1-2 ปี (เริ่ม พ.ย.55)และประเมินว่าจะมีสินแร่ ราว 5 หมื่นตัน หรือผลิตเป็นแร่สังกะสีได้ราว 1-1.5 พันตัน สำหรับพม่ามีโอกาสลงทุนหลังเปิดประเทศโดยอยู่ระหว่างศึกษากฎระเบียบและกฎหมายการลงทุน
ส่วนเหมืองแร่ที่แม่สอด จ.ตาก จะขุดแร่หมดในปี 61 และประทานบัตรจะหมดอายุในปี 66 จึงได้เจรจากับภาครัฐหรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในการขอประทานบัตรในพื้นที่รอบๆเหมืองปัจจุบัน
นายฟรานซิส กล่าวว่า บริษัทปรับลดวงเงินลงทุนปีนี้จาก 500 ล้านบาทใน 11 โครงการตามแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ เหลือ 350 ล้านบาท เน้นทำ 3 โครงการ คือการสกัดแร่อื่นนอกเหนือสังกะสี เช่น ตะกั่ว ทองแดง , เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเลี่อนการใช้พลังงานอื่นเพื่อลดต้นทุน
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับเปลี่ยนแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ในปลายปี 55 โดยกำหนดแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ 4 ด้านหลัก คือการสร้างนวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยี การวางระบบจัดหา การพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นปลาย และสร้างกระบวนการทำงานที่เป็นเลิศ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในรอบ 32 ปี เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจจากขาดทุนในปีที่ผ่านมาให้กลับเป็นมีกำไร
"เราจะทำให้ผลประกอบการถึงจุดคุ้มทุนและกลับมาเป็นบวกตามแผนระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยเริ่มจากปีนี้"นายฟรานซิส กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทดำเนินการให้สอดรับกับวิสัยทัศน์ใหม่และมุ่งเน้นตามแผนพัฒนาฯ โดยการสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบที่ไม่ใช่วัตถุดิบที่มาจากกระบวนการผลิตเดิม การผลิตโลหะมีค่า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้จากการถลุงสังกะสี การขยายกำลังผลิตและจำหน่ายโลหะสังกะสีผสม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม และการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินการ