แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/56 คาดว่าจะมีอัตราขนส่งบรรทุผู้โดยสาร(cabin factor)ในระดับ 82% ขึ้นไป เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไตรมาสแรกของปีนี้อากาศหนาวเย็นนาน ทำให้ฤดูกาลท่องเที่ยวนานขึ้น และตลาดการท่องเที่ยวของไทยดีขึ้นมาก
ขณะที่บริษัทพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 10-15% ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันในแต่ละปี โดยในปีก่อนมีอัตรากำไรสุทธิ 10%
นอกจากนั้น ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากบริการเสริมให้เท่ากับปี 54 ที่อยู่ในระดับ 383 บาท/ราย เพิ่มขึ้น 15-16% จากปี 55 ที่ปรับลดลงเหลือ 354 บาท/ราย อีกทั้งบริษัทมองหาโอกาสเปิด Hub ที่ฉงชิ่ง และจะปิด Hub ที่เชียงใหม่ด้วย
นายทัศพล กล่าวว่า บริษัทมีแผนเพิ่มกระแสเงินสดบริษัทเป็น 1 หมื่นล้านบาทภายในปี 58 จากปัจจุบันที่มี 6.2 พันล้านบาทหรือคิดเป็น 32% ของรายได้ หรือ ตั้งเป้ามีกระแสเงินสด 40-45% ของรายได้ เพื่อใช้สำรองค่าใช้จ่ายน้ำมัน เนื่องจากในอดีตบริษัทรับผลขาดทุนเพราะราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมากจาก 100 เหรียญ/บาร์เรล เป็น 140 เหรียญ/บาร์เรล ดังนั้น บริษัทจึงประกาศงดจ่ายเงินปันผล 3 ปีที่ได้ระบุในหนังสือชี้ชวนในคราวที่เสนอขายห้น IPO เพื่อหันมาเพิ่มกระแสเงินสด
"วันนี้ กระแสเงินสดเรามี 6.2 พันล้านบาท อดีตสอนเราว่าต้องมีเงินสดไว้ เพราะจากวิกฤติน้ำมันในครั้งนั้น ถ้าเราไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำมัน โอกาสที่เราจะล้มหายตายจากไปก็มี ถ้าราคาน้ำมันขึ้น เราจะได้ไม่สะดุด"นายทัศพล กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับแผนขยายฝูงบินใน 5 ปี (55-59) เพิ่มอีก 6 ลำเป็น 53 ลำเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเครื่องบินใหม่เป็นเครื่องบินแอร์บัส A320 ทั้งหมด ซึ่งแผนในปี 57 จะรับมอบเครื่องบินอีก 7 ลำ ในปี 58 รับมอบ 6 ลำ ปี 59 รับมอบ 6 ลำ เนื่องจากประเมินว่า ความต้องการเดินทางในจีนมาไทยยังมีอีกมาก หลังจากที่เห็นตัวเลขอัตราขนส่งผู้โดยสารในเที่ยวบินจากเมืองฉงชิ่ง ที่มีจำนวนประชากรประมาณ 50 ล้านคน และเมืองอื่นในจีนที่บริษัทเปิดเที่ยวบิน รวมทั้งในประเทศแถบอินโดจีน เช่น พม่า เวียดนาม ก็มีความต้องการเดินทางมากขึ้นด้วย