บริษัทมีแผนจะขายสินทรัพย์มูลค่า 6,000 ล้านบาทเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะขายเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทีพาร์คโลจีสติคส์ (TLOGIS) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน(TFUND) จำนวนเท่าใด นอกจากนี้ยังจะแบ่งขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ด้วยซึ่งรอศึกษาหลักเกณฑ์ใหม่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) โดยทั้งหมดคาดว่าจะขายได้ในไตรมาส 3-4/56
ในปีนี้บริษัทยังมีรายได้จากค่าเช่า 1,100 ล้านบาท รายได้จากเงินปันผล 300 ล้านบาท และค่าบริหารอื่นๆอีกราว 150 ล้านบาท
ส่วนไตรมาส 1/56 รายได้ก็จะมาจากค่าเช่าที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้หลักจากการขายเข้ากองทุนจะเป็นช่วงไตรมาส 3-4
บริษัทยังตั้งงบลงทุนรวม 8000 ล้านบาทในปีนี้ สูงกว่าปีก่อนที่ใช้งบลงทุน 6,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 50% สำหรับจ่ายค่าซื้อที่ดินที่เจรจาไปแล้วในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ากว่า 3,000 ล้านบาท อีก 50% สำหรับค่าก่อสร้าง โดยแบ่งเป็นสร้างโรงงานเพิ่มอีก 1.2-1.3 แสนตารางเมตร และแวร์เฮ้าส์อีก 2.5 แสนตารางเมตร
นายวีรพันธ์ กล่าวว่า บริษัทได้เจรจากับลูกค้าโรงงานใหม่ขอปรับราคาค่าเช่าเฉลี่ย 10-15% เพราะต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้น 8-10% ขณะที่ค่าที่ดินก็ปรับขึ้นด้วย โดยเฉพาะโซนตะวันออก โดยลูกค้าใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนอิเล็กทรอนิกส์เริ่มลดลง โดยลูกค้ามีทั้งลูกค้ารายใหม่จากต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น และลูกค้าเดิมที่ขยายพื้นที่เพิ่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทในไทย
ปัจจุบัน บริษัทมีพื้นที่โรงงานให้เช่า 4 แสนตารางเมตร แวร์เฮ้าส์ 3.6-3.7 แสนตารางเมตร