"ยอดขายเราปรับขึ้นทำนิวไฮมาตลอดทุกปีหลังผ่านวิกฤต ถ้าเปรียบเป็นบันไดก็มีแต่ขาขึ้น ยังหาทางลงไม่เจอ โดยตั้งเป้าโตเฉลี่ย 10-15% เวลาทำจริงโต 30-35%"นายอธิป กล่าว
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร SPALI กล่าวว่า กลุ่ม SPALI คาดว่าจะมียอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท เติบโตกว่า 10% จากปีก่อนมียอดขาย 2.3 หมื่นล้านบาท และทำรายได้ 1.35 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 1.17 หมื่นล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 40% จากปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 44% และอัตรากำไรสุทธิที่ 23%
ขณะนี้บริษัทมียอดขายรอโอน(backlog)แล้วกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีกำหนดรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ราว 8 พันล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่ 25 โครงการ มูลค่าค่าโครงการรวม 2.5 หมื่นล้านบาท แยกเป็นโครงการแนวราบในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัด จำนวน 16 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 9 โครงการ
บริษัทตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินใหม่ในปีนี้ 5 พันล้านบาทเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่และโครงการในอนาคต พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนอีกราว 2 พันล้านบาทเพื่อใช้ขยายธุรกิจในอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเมียนมาร์ ซึ่งปีนี้น่าจะเห็นความชัดเจนขึ้น เพราะมองว่าประเทศอาเซียนโตเร็ว เป็นการเพิ่มโอกาสเติบโต และช่วยกระจายความเสี่ยง แต่บริษัทก็จะไม่รีบร้อนดำเนินการ
ขณะที่นายอธิป กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีการปรับราคาขายบ้านในโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 7-10% ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมีเนียม
สำหรับการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดปีนี้จะดำเนินการที่ ชลบุรี ระยอง อุดรธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ และขอนแก่น นอกจากนี้บริษัทยังสนใจจังหวัดอุบลราชธานี เชียงราย พิษณุโลก มหาสารคาม และ นครศรีธรรมราช โดยสัดส่วนของการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดจะคิดเป็นประมาณ 28.5% ในปีนี้ และปีหน้าเพิ่มเป็นมากกว่า 30%
ส่วนปี 57 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตจะดีขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการรับรู้รายได้โครงการคอนโดมิเนียม 1.05 หมื่นล้านบาท และโครงการแนวราบเปิดใหม่จะมากขึ้น ซึ่งปีนี้จะซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น
นายอธิป เปิดเผยอีกว่า บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ราว 1-2 พันล้านบาทภายในปีนี้ แม้ว่าเบื้องต้นจะไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงิน เพราะมีเงินสดในมือถึง 5 พันล้านบาท แต่บริษัทเห็นเป็นจังหวะดี เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำทำให้มีต้นทุนทางการเงินเพียง 3-4 % และอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทก็ดีขึ้น โดยหุ้นกู้ชุดใหม่ส่วนหนึ่งจะออกมาทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม