นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการยื่นเสนองานโครงการอีกหลายแห่ง และคาดว่าจะมีงานใหม่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้มีการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีความทันสมัยขึ้น เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นรองรับงานใหม่ในอนาคต อีกทั้งจะมีส่วนช่วยในการบริหารต้นทุนดำเนินงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
“ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมืออยู่ 353 ล้านบาท ณ สิ้น ก.พ.ยังไม่รวมงานโครงการใหม่ที่รอเซ็นสัญญาอีกกว่า 100 ล้านบาท คาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาจะมีการขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง จากการลงทุนของภาครัฐ และการลงทุนของภาคเอกชนในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจและทำให้ PPS มีโอกาสในการเข้ารับงานโครงการใหม่เข้ามาต่อเนื่องโดยจะเน้นที่งานภาครัฐและงานโรงงานอุตสาหกรรม คาดว่าในปีนี้รายได้รวมของบริษัทจะมีการเติบโต 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้"นายธัช กล่าว
ส่วน บริษัท พีพีเอส ดีไซน์ จำกัด (PPS DESIGN) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ดำเนินธุรกิจด้านงานออกแบบทางวิศวกรรม ขณะนี้ได้รับงานออกแบบโครงการแล้ว 2 โครงการ เมื่อปลายปี 55 และต้นปี 56 ที่ผ่านมาและอยู่ระหว่างการเตรียมยื่นเสนองานออกแบบโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 ร่วมกับพันธมิตร ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการประเภทต่างๆ ที่ต้องการรูปแบบงานก่อสร้างที่ทันสมัย มีการนำวัสดุสำเร็จรูปเข้ามาใช้แทนแรงงานคน เพื่อลดระยะเวลาและต้นทุนในการก่อสร้าง ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
อนึ่ง ผลดำเนินงานของ PPS งวดปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 268 ล้านบาท ถือเป็นยอดรายได้จากการรับงานบริหารโครงการสูงสุดในรอบ 25 ปีของการดำเนินธุรกิจ และปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 54 ที่มีรายได้รวม 257 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 15 ล้านบาท คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติอนุมัติจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 73% ของกำไรสุทธิ หรือคิดเป็นเงินปันผลอัตราหุ้นละ 0.03 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 25 เม.ย. 56 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พ.ค.56
นายพงศ์ธร ธาราไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการเงินและธุรการ PPS กล่าวว่า บริษัทฯคาดรายได้ปี 56 อยู่ที่ 300 ล้านบาท จากปี55 อยู่ที่ 268 ล้านบาท โดยรายได้มาจากรายได้คุมงาน 280 ล้านบาท และรายได้จาการให้บริการออกแบบด้านวิศกรรม 20 ล้านบาท โดยคาดว่า Backlog ของบริษัทฯ จะเพิ่มเป็น 474.78 ล้านบาทในเร็ว ๆ นี้หลังจากเซ็นสัญญางานใหม่เข้ามาเพิ่มเติมอีกราว 121.78 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะลดลงจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31.69% เนื่องจาก บริษัทฯได้มีการเซ็นสัญญาในโครงการเก่า ซึ่งบริษัทได้เสนอราคาก่อนปรับค่าจ้างพนักงานขึ้น ส่งผลทำให้ค่าธรรมเนียมของการคุมงานก่อสร้างมีอัตรากำไรลดลง ทำให้อัตราขั้นต้นปีนี้ลดลงจากปีก่อน แต่บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นเป็น 8-10% จากปี 55 อยู่ที่ 5.76% หลังจากปรับขึ้นราคาค่าคุมงานก่อสร้างในโครงการใหม่ตามค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น ประกอบกับบริษัทปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ส่วนปัจจัยเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจในปีนี้คือประเด็นเรื่องค่าแรงงาน โดยในปี 55 บริษัทฯได้ปรับเพิ่มค่าจ้างพนักงานมากกว่าปกติ เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหรรมก่อสร้างมีการแข่งขันสูง และมีการดึงตัวพนักงานกันมาก นอกจากนั้น บริษัทยังรับนักศึกษาจบใหม่เข้ามาเพิ่มและจัดอบรม ซึ่งพนักงานที่จบใหม่จะมีระดับเงินเดือนน้อยกว่าพนักงานเก่า ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรที่ดีขึ้น