ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนรุกตลาดผู้บริโภคคนรุ่นใหม่เพื่อผลักดันสินค้าให้รองรับกับ Lifestyle การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างเต็มที่ แต่ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ ยังมีความแข็งแกร่งด้านอาหารพื้นเมืองและลูกชิ้นปลาที่เป็นผู้นำในตลาดในประเทศไทย ทำให้สามารถนำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
"จากพื้นฐานเดิมที่แข็งแกร่งผนวกกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่บริษัทมีการพัฒนา รวมถึงการขยายช่องทางการตลาดและช่วยผลักดันยอดขายรวมในปีนี้เติบโต 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้"นายเจริญ กล่าว
นายเจริญ กล่าวว่า แผนการตลาดผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง บริษัทมีแผนพัฒนาสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเองให้มากขึ้น จากเดิมที่รับจ้างผลิตให้ลูกค้า โดยได้เปิดตัวแบรนด์"ทวีต"ซึ่งเป็นเมนูขนมไทย ได้แก่ บัวลอย ทับทิมกรอบ และ บัวลอยน้ำขิง ขณะเดียวกันบริษัทจะเปิดร้านข้าวขาหมูยูนนานในปั้มน้ำมันและฟู้ดคอร์ทในห้างสรรพสินค้า ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้รับการเสนอพื้นที่ให้ไปจำหน่ายแล้วประมาณ 40 แห่ง
นอกจากนี้ ยังขยายจุดจำหน่ายไปยังลูกค้าโรงแรม ภัตตาคาร กลุ่มจัดเลี้ยง ซึ่งเป็นตลาดที่มีการขยายตัวสูงอีกด้วย โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทจะมีการพัฒนาเมนูอาหารใหม่ๆ พร้อมทั้งตั้งเป้าขยายสาขาร้านแซ่บเอ็กซ์เพรส เพิ่มเป็น 12 สาขาจากเดิมที่มี 6 สาขา หลังจากได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคที่ชื่นชอบรสชาติอาหาร โดยในไตรมาส 2/56 จะเป็นสาขาที่ห้างสรรพสินค้าโซโห (โบ๊เบ๊ทาวเวอร์)
ส่วนอาหารทะเลแปรรูปในกลุ่มลูกชิ้นปลาในปีนี้บริษัทมีความพร้อมด้านการผลิตมากขึ้น หลังจากเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 13,000 ตัน โดยเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ภายในปีนี้ และจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการขยายตลาดลูกชิ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ที่บริษัทอยู่ระหว่างขยายตลาดไปยังประเทศกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เช่น เวียดนาม กัมพูชา พม่า และ ลาว รวมทั้งประเทศในตะวันออกกลาง
นายเจริญ กล่าวถึงการขยายตลาดในสหภาพยุโรปว่า น่าจะสามารถเริ่มผลิตสินค้าในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ในช่วงกลางปี 56 นี้ จากปัจจุบันบริษัทฯ จ้างโรงงานในโปแลนด์ผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาดยุโรป ดังนั้น ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากตลาดยุโรปประมาณ 50 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากตลาดในประเทศเป็นหลักราว 90% และตลาดต่างประเทศ 10%
บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 56 ราว 250- 300 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าประเภทอาหารทะเลแช่เข็ง ลูกชิ้นปลา และขนมขบเคี้ยว พร้อมทั้งขยายสาขาร้านอาหารในเครือ โดยจะใช้เงินลงทุนราว 5 ล้านบาท/สาขา ในขณะเดียวกันจะมีการปรับปรุงระบบต่างๆเพื่อที่จะรองระบบบริหารเฟรนไชส์
ขณะที่บริษัทคาดว่าภายในปีนี้จะเห็นความชัดเจนแผนร่วมลงทุนกับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อผลิตอาหารที่มีรูปแบบเดียวกับบริษัทฯ เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)มากขึ้น โดยการส่งตัวแทนจำหน่ายไปประเทศต่าง เช่น ลาว กัมพูชา และ เวียดนาม แม้จะคาดว่าระยะแรกอาจยังไม่สร้างรายได้ให้บริษัทฯมากนัก แต่จะเป็นการสร้างเครือข่ายและการขยายตลาดที่ดีเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต
นายเจริญ เปิดเผยว่า จากการขึ้นค่าแรง 300 บาท ประกอบกับการขาดแคลนแรงงานในการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทฯปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดีบริษัทฯได้มีการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ในการผลิตมากขึ้น ทำให้บริษัทฯสามารถที่จะควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะปรับราคาสินค้าขึ้น