ทั้งนี้ โครงการ “เดอะ ศาลายา" เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ บนพื้นที่ 18 ไร่ มูลค่าโครงการ 185 ล้านบาท ภายในโครงการประกอบไปด้วยธนาคาร ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า และอื่นๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ที่พักอาศัยบริเวณโครงการ อาทิ นักศึกษา อาจารย์ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงข้าราชการในบริเวณใกล้เคียง
“การจัดตั้งบริษัทย่อยในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯ เล็งเห็นว่าควรแยกการบริหารที่ชัดเจน และเพื่อให้เห็นถึงแนวโน้มของแต่ละธุรกิจ ประกอบกับเป็นการวางแผนเพื่อรองรับแผนงานที่จะขยายเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งเชื่อว่าโครงการแรกที่บริษัทฯ เริ่มดำเนินการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรีเทลจะได้รับการตอบรับที่ดี อีกทั้งช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ อีกทางหนึ่งนอกเหนือจากธุรกิจหลักที่ดำเนินการอยู่" นางกนกกร กล่าว
นางกนกกร กล่าวว่า บริษัทได้มีการศึกษาการลงทุนในลักษณะดังกล่าวไว้ในอนาคตด้วยทั้งที่อยู่อาศัยและคอมมูนิตี้มอลล์ในทำเลอื่น เพียงแต่รอจังหวะเวลาและทำเลที่เหมาะสม ขณะเดียวกันต้องการรอให้โครงการเดอะศาลายาเป็นที่รู้จักในตลาดก่อนเพื่อศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อพัฒนาต่อไป
นอกจากนี้ ในขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินกิจการบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัว (Flexible Packaging) เพื่อขยายธุรกิจใหม่เพิ่มเติม เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งธุรกิจใหม่นี้จะพร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 2 นี้ และคาดว่าจะช่วยสร้างยอดขายให้กับธุรกิจเพิ่มไม่ต่ำกว่าปีละ 200 ล้านบาท
สำหรับการดำเนินงานในปี 2556 นั้น ทางบริษัทฯ เชื่อว่าในส่วนของรายได้จะเติบโตขึ้น โดยคาดการณ์เบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปี 2555 ประมาณ 43% ขณะที่ในส่วนของกำไรจะดีขึ้นในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่ดำเนินการไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์วัสดุเพื่อใช้ในการก่อสร้าง มีแนวโน้มความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทองแดงและทองเหลืองชนิดแผ่นและม้วน และอะลูมิเนียมชนิดม้วนเกรดพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมหลังคา เป็นต้น บวกกับบริษัทฯ มีศักยภาพในเชิงการแข่งขันที่ดี และจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพสูง
ปัจจุบันราคาทองแดง ทองเหลือง และวัสดุอื่นๆ นับว่าค่อนข้างมีเสถียรภาพ ไม่ผันผวนมากตามสภาพเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในแถบยุโรป บริษัทฯ คาดว่าแนวโน้มราคาจะทรงตัวและไม่ต่ำไปกว่าปัจจุบันมาก อย่างไรก็ดีทิศทางและนโยบายเศรษฐกิจของจีนค่อนข้างมีผลกระทบต่อปริมาณความต้องการและราคาแร่
“อุตสาหกรรมโดยรวมในประเทศมีแนวโน้มสดใสและเติบโตต่อเนื่อง ธุรกิจไทยและผู้ประกอบการในประเทศก็มีความตื่นตัวมากขึ้นต่อการเปิดธุรกิจเสรีประชาคมอาเซียน (AEC) ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลดีโดยตรงกับบริษัทฯ เนื่องจากทำให้วัตถุดิบที่นำเข้ามาเพื่อจำหน่ายมีต้นทุนต่ำลง อย่างไรก็ดี ทั้งค่าเงินและราคาแร่ บริษัทฯ มีระบบจัดการและมาตรการป้องกันความผันผวนอย่างเหมาะสม และไม่มีนโยบายในการเกร็งกำไร" นางกนกกร กล่าว
นางกนกกร กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อร่วมทุนกับพันธมิตรกับประเทศจีนเพื่อสร้างโรงงานเคลือบสีหลังคาอะลูมิเนียมโดยจะเป็นการร่วมทุนตั้งบริษัทใหม่ถือหุ้นคนละ 50% คาดเจรจาเสร็จสิ้นภายในปีนี้และเริ่มดำเนินธุรกิจใหม่ได้ในปี 57
"ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนคงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเงินลงทุนได้ เนื่องจากต้องดูเงื่อนไขว่าจะเป็นผลิตเพื่อการส่งออกด้วยหรือไม่ แต่การเจรจาต้องการให้จีนนำตลาดเข้ามาในประเทศด้วย มองแนวโน้มอุตฯอะลูมิเนียมยังเติบโตดีขึ้นน่าจะเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ"นางกนกกร กล่าว