ยขณะนี้ได้เริ่มโรดโชว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศจนถึงวันที่ 4 เม.ย.และพร้อมเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 29 มี.ค.-4 เม.ย. 56 คาดว่ามูลค่าเสนอขายเบื้องต้นอยู่ที่ 6-6.25 หมื่นล้านบาท หรือ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 5,788 ล้านหน่วย ซึ่งแบ่งขายให้นักลงทุนในประเทศ รวม BTS สัดส่วน 57.4% และนักลงทุนต่างประเทศ 42.6% คาดว่าหน่วยลงทุนจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 19 เม.ย. 56
"เราโรดโชว์วันสุดท้าย 4 เม.ย. และรับทราบผลราคาเสนอขายสุดท้ายวันที่ 5 เม.ย." นายสุรพงษ์ กล่าว
บริษัทได้เซ็นสัญญาซื้อขายหน่วยลงทุนดังกล่าวให้กับกองทุนต่างประเทศที่อยู่ในส่วนของผู้ลงทุนสถาบัน 20 ราย Conerstone Invester จำนวน 800 ล้านเหรียญสหรัฐ และ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) จะกลับเข้าไปซื้อ 1 ใน 3 ของมูลค่ากองทุน หรือประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,929 ล้านหน่วย)ส่วนที่เหลือจะแบ่งขายให้กับนักลงทุนสถาบันในประเทศ 8 พันล้านบาท, นักลงทุนรายย่อย อีก 8.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้จากการขายสิทธิในรายได้บริการรถไฟฟ้า BTS เข้าเป็นสินทรัพย์กองทุนฯ ในงวดไตรมาสแรกปี 56/57(เม.ย.-มิ.ย.56)
กองทุนฯ ดังกล่าวจะมีรายได้มาจากรายได้ค่าโดยสารสุทธิจากรถไฟฟ้าสายสีเขียว 2 สายหลัก ได้แก่ สายหมอชิต-อ่อนนุช และ สายสะพานตากสิน-สนามกีฬาแห่งชาติ ระยะทาง 23.5 กม.ที่มีอัตราเติบโตต่อเนื่อง โดยตลอด 13 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 10.9% ต่อปี ขณะที่บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการะดมทุนครั้งนี้บางส่วนไปใช้ลงทุนโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ ตามแผนแม่บทของรัฐบาลที่จะขยายระบบการขนส่งทางรางเพิ่มเติมอีกกว่า 10 เส้นทาง เป็นระยะทางประมาณ 508 กม.ใน กทม.และปริมณฑล ภายในปี 72
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า BTSGIF จะได้รับรายได้จากการเดินรถสายสีเขียว 2 สายหลักจากอายุสัมปทานที่เหลืออยู่ 17 ปี (สิ้นสุด 4 ธ.ค.72)โดยในช่วง 8-9 ปีแรก คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเติบโตเฉลี่ย 8-9% และคาดปีนี้ (เม.ย.56-มี.ค.57) จะมีรายได้จากค่าโดยสาร 3.7 พันล้านบาทจากปีก่อน (เม.ย. 55-มี.ค.56) คาดว่าจะรายได้ 3.2 พันล้านบาท
นอกจากนี้ BTSC มีแผนจะเข้าร่วมประมูลการเดินรถเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ในอนาคต เพื่อจะนำโครงการใหม่เข้ามาขยายขนาดกองทุนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เส้นทางสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 8 กม. ซึ่งงานโยธาได้คืบหน้าไปมาก และคาดว่าจะเปิดประมูลในการลงทุนระบบรางและเดินรถภายในปีนี้ ส่วนสายสีเขียวช่วง หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต คาดว่าจะเปิดประมูลงานโยธาในปีนี้
สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. 30 สถานี ซึ่งจะมีจุดตัดกับสายสีเขียวที่สถานีวงเวียนหลักสี่ คาดว่าจะเปิดประมูลงานโยธาภายในปีนี้ รวมทั้ง รถไฟฟ้าขนาดเบา(Light Rail Transit)จากบางนาไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีระยะทาง 18 กม. 15 สถานี อยู่ระหว่างรออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ขณะที่ เส้นทางสายสีเขียว 2 สายหลักที่เดินรถในปัจจุบันหากหมดอายุสัมปทานก็มีโอกาสได้รับการพิจารณาต่ออายุการเดินรถเพิ่มเติมได้
ด้านนายสุทธิพงศ์ พัวพันธ์ประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนอสังหาริมทรัพย์ บลจ.บัวหลวง ในฐานะผู้บริหารกองทุน BTSFIF กล่าวว่า นักลงทุนจะได้รับเงินคืนระหว่างการลงทุนตลอดช่วงระยะเวลา 17 ปี โดยคาดอัตราการเงินจ่ายคืน 5.8-6.0% ทั้งนี้มาจากเงินปันผลต่อหน่วย 5.2-5.4% และจากการทยอยดจ่ายคืนเงินลงทุนด้วยการลดทุน 0.6% ที่คำนวณจากราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 10.40-10.80 บาท/หน่วย ตามการประมาณการรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายสุทธิที่เกี่ยวกับกองทุน
นอกจากนี้ นักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดามีสิทธิรับยกเว้นภาษีเงินได้ในเงินปันผลที่จะได้รับจากกองทุน เป็นเวลานาน 10 ปี นับตั้งแต่วันจัดตั้งกองทุน