ทริส จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ใหม่ 6 พันลบ.ของ PS ที่ระดับ “A/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 20, 2013 09:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ที่ระดับ “A" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" โดยบริษัทจะนำเงินจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2556 และหนี้เงินกู้อื่น ๆ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในตลาดทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่าง ความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่ช่วยประกันรายได้ของบริษัทในอนาคต อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลประกอบการเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้จำนวนมากได้ตามแผน แม้ว่าบริษัทมีแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกในปี 2556 แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินกว่า 55%

PS เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยชั้นนำของประเทศ ซึ่งก่อตั้งในปี 2536 โดยนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2548 ณ เดือนมีนาคม 2555 กลุ่มตระกูลวิจิตรพงศ์พันธุ์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 74% ของหุ้นทั้งหมด ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2556

บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาอยู่เป็นจำนวนมากถึง 216 โครงการ โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยทาวน์เฮ้าส์ซึ่งคิดเป็น 48% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด บ้านเดี่ยว 37% คอนโดมิเนียม 14% และโครงการในต่างประเทศ 1% ที่อยู่อาศัยของบริษัทมีราคาขายเฉลี่ย 2 ล้านบาทต่อหน่วย ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2556 โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขายรวมทั้งสิ้นประมาณ 50,000 ล้านบาท และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ 36,653 ล้านบาท

ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากการใช้เทคโนโลยีชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปและการบริหารจัดการงานก่อสร้างโครงการทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวโดยบริษัทเอง ทั้งนี้ ชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปที่ผลิตได้เป็นจำนวนมากช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนและลดระยะเวลาการก่อสร้างลงได้ ซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถกำหนดราคาขายที่ได้เปรียบคู่แข่ง

ยอดขายของบริษัทในปี 2555 ดีขึ้น 15% เป็น 29,396 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่เติบโตขึ้นของทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียม ยอดขายทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 19% เป็น 14,896 ล้านบาทในปี 2555 ขณะที่ยอดขายคอนโดมิเนียมเท่ากับ 6,730 ล้านบาทในปี 2555 เพิ่มขึ้นจาก 4,265 ล้านบาทในปี 2554 ยอดขายในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2556 เท่ากับ 4,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 2,415 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยเป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทั้งทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว

บริษัทยังคงสามารถบริหารการโอนที่อยู่อาศัยได้อย่างน่าพอใจ โดยรายได้ของบริษัทในปี 2555 เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 27,023 ล้านบาท เติบโต 16% จาก 23,263 ล้านบาทในปี 2554 รายได้จากทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวในปี 2555 เพิ่มขึ้น 30% และ 23% ตามลำดับ ในขณะที่รายได้จากคอนโดมิเนียมลดลง 37% อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงเป็น 34% ของรายได้ในปี 2555 จาก 37% ในปี 2554 และ 38% ในช่วงปี 2551-2553 โดยสืบเนื่องมาจากต้นทุนค่าที่ดินและค่าก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทลดลงเหลือ 15% ของรายได้ในปี 2555 จาก 20% ในปี 2554

ดังนั้น อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายจึงเพิ่มขึ้นเป็น 20.64% ในปี 2555 จาก 18.16% ในปี 2554 ทั้งนี้ การชะลอการขยายธุรกิจและการซื้อที่ดินใหม่น้อยลงในปี 2555 ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดต่ำลง โดยอัตราส่วนดังกล่าวลดลงเป็น 47.26% ณ เดือนธันวาคม 2555 จาก 54.92% ณ เดือนธันวาคม 2554 ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นและภาระหนี้ที่ลดลงส่งผลให้กระแสเงินสดของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมดีขึ้นเป็น 19.17% ในปี 2555 จาก 13.55% ในปี 2554


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ