ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการลงทุนในอินโดนีเซียจะต้องใช้แงินทุนประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อตั้งโรงงานผลิตเพลาข้าง(Axle Shaft) กำลังการผลิต 3-4 หมื่นชิ้น/เดือน ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 58 โดยเป็นการขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมองการเข้าไปลงทุนในประเทศอินเดียเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างการหาแหล่งวัตถุดิบที่ไม่ใช่แหล่งเดิมจากญี่ปุ่นที่มีราคาสูง โดยมองหาแหล่งใหม่จากเกาหลี และจีน
"การไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียก็เพื่อรองรับการเติบโต และโอกาสจากการเปิด AEC และปัจจุบันเราก็ยังมองการไปลงทุนในประเทศอินเดีย แต่การเสนอราคาเข้าไปทางอินเดียเขาต้องการราคาที่ต่ำมาก การใช้วัตถุดิบจากญี่ปุ่นมีราคาสูงกว่าถึง 70% จากราคาที่เสนอมา แต่หากเป็นวัตถุดิบที่ราคาต่ำลงกว่าก็จะมองในประเทศเกาหลี ซึ่งหากมีโอกาสที่ดีเราก็จะเข้าไปลงทุน แต่ปัจจุบันจะเน้นที่อินโดนีเซียก่อน"นางนภัสร กล่าว
นางสาวนภัสร กล่าวว่า บริษัทคาดว่ายอดขายในปี 56 จะเติบโตมากกว่า 10% ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตขึ้น โดยคาดว่ายอดผลิตรถยนต์จะสูงขึ้นจากปีก่อน ทั้งนี้บริษัคาดอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ที่ 18-19% จากที่ปี 55 ทำได้ 15.89% เนื่องจากปีก่อนบริษัทมีการจ้างผลิตมากเพราะอุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตรวดเร็วกว่าคาด แต่ในปีนี้เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว การจ้างผลิตจึงลดลง ประกอบกับในไตรมาส 1/56 ยังมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 10%
สำหรับค่าเงินบาทมีแนวโน้มเข็งค่าอย่างต่อเนื่องนั้น ขณะนี้บริษัทฯยังไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากสามารถที่จะผลักภาระต้นทุนไปให้กับลูกค้าได้ ประกอบกับปัจจุบันราคาวัตถุดิบยังมีแนวโน้มจะลดลงอีกด้วย