พร้อมกันนั้น ยังตั้งข้อสังเกตถึงวอลุ่มการซื้อขายหุ้น TIPCO ในระยะนี้ที่มีความคึกคักเป็นพิเศษ โดยมีการเทรดมากเกิน 100 ล้านบาท ทั้งที่หุ้น TIPCO มี Free Float ต่ำเพียง 70 ล้านหุ้น เนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ถือ 70%ของหุ้นทั้งหมด จำนวน 500 ล้านหุ้น
"ผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารไม่ได้คุยกับทางกลุ่มคุณเจริญ และก็ไม่มีใครติดต่อเข้ามา ผมว่ามันเป็นการ speculate หุ้น คือ Free Float ของเรา มีแค่ 70 ล้านหุ้น ถ้ามีคน accumulate จริง มันไม่ควรจะเทรดได้เกินวันละ 70 ล้านหุ้น ซึ่ง confirm ว่าไม่มี...ข่าวนี้ไม่มีมูลทั้งสิ้น ไม่มีการคุยทั้งฝ่ายmanagement ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ Third party ใดๆทั้งสิ้น การเทรดแสดงว่ามีการโยนกันไปโยนกันมาชัดเจน"นายกฤษฎิ์ กล่าว
สำหรับแผนดำเนินงานของบริษัทในปี 56 นายกฤษฎิ์ คาดว่า กำไรสุทธิในปีนี้จะไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไร 219 ล้านบาท ส่วนรายได้คาดว่าจะใกล้เคียงปีก่อนที่ 5.8 พันล้านบาท โดยยอมรับว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แต่ในไตรมาสแรกปีนี้คงยังไม่เห็นผลกระทบมากนักเพราะบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ครึ่งหนึ่งของยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้
หากเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง คาดว่าจะกระทบผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะบริษัทมีรายได้ส่วนหนึ่งเป็นเงินดอลลาร์ ซึ่งมองว่ามีความเป็นไปได้ที่เงินบาทจะแข็งค่าไปถึง 28 บาท/ดอลลาร์ในปีนี้ จากช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าจะอยู่ในระดับ 29 บาท/ดอลลาร์ หากแปลงรายได้เป็นสกุลบาทที่ 28 บาท/ดอลลาร์จะทำให้รายได้ลดลงประมาณ 10% จากตอนรับออเดอร์ที่ระดับ 30 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ต้นทุนของบริษัทเป็นเงินบาท
อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนจะหันมาขยายตลาดในประเทศมากขึ้นโดยเน้นน้ำผักผลไม้ เพื่อชดเชยกับรายได้ส่งออกที่ลดลงจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยบริษัทมียอดส่งออกสัดส่วน 50% ของรายได้ ขณะที่ต้นทุนสูงขึ้นจากค่าแรงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และจากราคาวัตถุดิบหรือผลไม้
"ปีนี้ไม่แตกต่างจากปีที่แล้ว ยอมรับบาทแข็ง ธุรกิจเราเป็นธุรกิจส่งออกครึ่งหนึ่ง กระทบกับเราแน่นอน ก็จะบริหารกำไรสุทธิไม่ให้ต่ำกว่าปีที่แล้ว...ไม่น่าถึงขาดทุน แต่อาจจะกำไรน้อยลง แต่ก็พยายามจะไม่ไห้กำไรต่ำกว่าปีที่แล้ว"นายกฤษฎิ์ กล่าว