นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค(ECF) เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจในการเปิดเทรดวันแรก จากการที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีการเติบโตที่ดี คาดว่าในปีนี้รายได้รวมของบริษัทจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,080.10 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 35.64 ล้านบาท
การเติบโตของรายได้ในปีนี้เป็นผลจากการขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศ ผ่านโมเดิร์นเทรดต่างๆมากขึ้น ขณะที่ตลาดต่างประเทศบริษัทได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้าเดิมในประเทศญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง อีกทั้งมีแผนจะขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น อาทิ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ พม่า และ ลาว
“ในปีที่ผ่านมาผลการดำเนินงานมีการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งบริษัทจะพยายามสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การระดมทุนในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการที่บริษัทจะปรับปรุงสายการผลิตเพื่อผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด และไม้ยางพารา ให้เพียงพอต่อคำสั่งซื้อของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทจะมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น อาทิ ระบบการบริหารจัดการ การลดต้นทุน การเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ฯลฯ ซึ่งเรามั่นใจว่าการดำเนินงานดังกล่าวจะนำมาสู่การสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับบริษัทด้วยเช่นกัน"นายอารักษ์ กล่าว
บริษัทคาดว่าไตรมาส 1/56 จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ซึ่งแนวโน้มในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาการเติบโตของบริษัทสูงถึง 25%YoY จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ทั้งปีจะเติบโตที่ 15% เนื่องจากยอดขายในประเทศเติบโตมากขึ้น
"เรามั่นใจในการเทรดวันแรก เนื่องจากนักลงทุนเห็นความสำคัญของปัจจัยพื้นฐานที่ดีของบริษัท จากการที่รายได้ใน 2 เดือนแรก เติบโตเฉลี่ย 30% และคาดว่าทั้งไตรมาส 1/56 จะโตมากกว่า 25% ทำให้การเปิดเทรดวันแรกหุ้นบวกไปกว่า 170%" นายอารักษ์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2/56 นั้น ปกติแล้วในช่วงไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่ยอดขายอาจจะไม่ดีนัก แต่ในปีนี้บริษัทฯจะนำสินค้าไปขายในตะวันออกกลางมากขึ้นเพื่อทดแทนตลาดญี่ปุ่นที่จะมียอดขายลดลง โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯจะเป็น ตลาดในประเทศ 40% ส่งออก 60% โดยแบ่งเป็น ตะวันออกกล่าง 20% ญี่ปุ่น 70% และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) อีก 10 %
นายอารักษ์ กล่าวว่า เงินที่ได้จากการขาย IPO จะนำไปซื้อเครื่องจักรใหม่เพิ่มเติมโดยจะใช้เงินประมาณ 50-60 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 15% และจะส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเติบโตมากขึ้นเนื่องจากสามารถลดต้นทุนด้านแรงงาน และเพิ่มแม่นยำในการผลิตมากขึ้น ลดความเสียหายจากการผลิตได้มากขึ้น
ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เปิดเผยว่า การลงทุนในหุ้นของ ECF จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีของนักลงทุน เพราะธุรกิจของบริษัทมีการเติบโตในอนาคตที่ชัดเจน โดดเด่น ประกอบกับบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั้งในส่วนของฐานะการเงินและความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากว่า 14 ปี เชื่อว่าหลังจากการะดมทุนแผนการดำเนินงานที่บริษัทวางไว้จะเป็นไปตามเป้าหมาย และนำมาสู่การสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างแน่นอน
ส่วนนายนิมิต วงศ์จริยกุล กรรมการบริหาร บล.โนมูระ พัฒนสิน ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า ECF มีการเติบโตที่ดีมาโดยตลอด ควบคู่ไปกับการไม่หยุดนิ่งในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศขณะที่ราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอ ECF ที่ราคา 1.20 บาท/หุ้น ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยมี P/E 17.51 เท่า คิดเป็นส่วนลดประมาณ 30% และบริษัทยังมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งที่ผ่านมามีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง