นอกจากนี้ การปรับเพิ่มวงเงิน R&D ดังกล่าวยังเป็นไปตามนโยบายบริษัทแม่ คือ บมจ.ปตท.(PTT)ที่ให้กันงบไว้ 3%ของกำไรสุทธิ ซึ่งบมจ.ไออาร์พีซี ( IRPC) ได้ดำเนินการสำเร็จไปแล้ว
นายวีรศักดิ์ ยังกล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ TOP ได้ลงนาม MOU กับเปอตามีน่าของอินโดนีเซียในการเข้าไปศึกษาการเพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์ ได้แก่ การแปลงน้ำมันให้มีมูลค่าสูง การผลิตสารเคลือบผิว(vax)โดยใช้ผลพลอยได้จากโรงกลั่นของเปอโตมีน่าในเกาะชวา โดยการศึกษาครั้งนี้ดำเนินการคู่ขนานไปกับบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ที่ทำการศึกษาโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า เครือ TOP ได้ร่วมกับ วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(PPC) จัดทำโครงการวิจัยภายใต้ความร่วมมือTOP-PPCที่ดำเนินการมา 5 ปี ตั้งแต่ปี 51 มีทั้งหมด 9 โครงการโดยจะนำมาใช้จริง 3 โครงการ รวมทั้งการตั้งหน่วยวิจัยและพัฒนาร่วมระหว่างเครือไทยออยล์และ PPC
"เครือไทยออยล์เล็งเห็นแนวโน้มธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนามากขึ้น เพราะจะช่วยพัฒนานวัตกรรม ทางอุตสาหกรรมเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เพื่อขยายผลต่อยอดไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ระดับภูมิภาคและการเข้าร่วมประชาคมอาเซียน ตลอดจนการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่มมูลค่าธุรกิจ และหน่วยวิจัยและพัฒนานี้ได้เป็นส่วนช่วยต่อยอดความคิดซึ่งช่วยให้ผลงานวิจัยที่เกิดขึ้นสามารถปรับใช้ได้ตรงกับความต้องการของตลาด" นายวีรศักดิ์ กล่าว