“โดยปกติยอดส่งออกของบริษัทจะมีการชะลอตัวในช่วงไตรมาส 2 เนื่องจากเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ในญี่ปุ่น ออร์เดอร์จึงมีการชะลอตัวตาม แต่ในปีนี้เชื่อว่าการเติบโตจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากบริษัทจะมีออร์เดอร์จากตะวันออกกลางเข้ามาทดแทนเป็นจำนวนมาก"นายอารักษ์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มของธุรกิจโดยรวมปี 56 เชื่อว่ารายได้รวมจะมีการเติบโตอย่างน้อย 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ทั้งในและต่างประเทศยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปีนี้อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยจะมีการเติบโตอย่างน้อย 5-10% จากปีก่อนที่มีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 70,000 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตดังกล่าวจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน
แผนการตลาดของบริษัทในปีนี้ นอกจากจะมีการเพิ่มออร์เดอร์กับลูกค้าเดิมในประเทศญี่ปุ่นตะวันออกกลางแล้ว ยังจะมีการขยายฐานลูกค้ารายใหม่เพิ่มเติม และเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศ AEC ขณะที่ตลาดในประเทศเชื่อว่าจะขยายตัวอย่างรวดเร็วและผลิตภัณฑ์จะเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น ตามการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสู่โมเดิร์นเทรด และร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ทั่วประเทศ
สำหรับแผนการลงทุนของในปีนี้หลังระดมทุนจำนวน 144 ล้านบาท บริษัทจะใช้เงินลงทุน 50-60ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อเครื่องจักรที่เป็นระบบ Semi Automatic ให้มากขึ้นจากเดิม โดยคาดว่าจะติดตั้งและเริ่มการผลิตได้ภายในไตรมาส 2 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 15% ส่วนที่เหลือบริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินหมุนเวียนในการดำเนินงาน ตลอดจนทำการประชาสัมพันธ์แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ในประเทศให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย
นายอารักษ์ กล่าวต่อไปถึงผลการดำเนินงานของ ECF งวดปีที่ผ่านมาว่า บริษัทมีรายได้รวม 1,080.10 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น 9% จากปี 54 ที่มีรายได้รวม 995.33 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 35.64 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17.4% จากปี 54 ที่มีกำไรสุทธิ 30.36 ล้านบาท