ทั้งนี้ PTTGC และเปอร์ตามีน่า ลงนามความร่วมมือใน Head of Agreement(HoA) ร่วมลงทุน 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.2 -1.5 แสนล้านบาท) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินโครงการสร้างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่จะมีโรงงานโอเลฟินส์ขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี รวมถึงโรงงานโพลิเมอร์ปลายน้ำ สัดส่วนการถือหุ้นเปอร์ตามีน่า ร้อยละ 51 และ PTTGC ถือหุ้น ร้อยละ 49
นายอนนต์ กล่าวว่า หลังจากเซ็นสัญญา HoA ร่วมกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะศึกษารายละเอียดของโครงการ โดย PTTGC จะร่วมลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบ ซึ่งอินโดนีเซียก็ต้องการทำเช่นเดียวกัน เพราะเห็นว่ามีผลตอบแทนดีและมีผลิตภัณฑ์หลากหลายตอบสนองความต้องการในอินโดนีเซียได้ดี เนื่องจากต้องนำเข้าโพลิเมอร์ถึง 40% ของปริมาณความต้องการทั้งหมด
"เท่าที่บริษัทเข้าไปเห็นว่าโรงกลั่น 2 แห่งในชวา สามารถต่อเชื่มทำโรงงานปิโตรเคมี หรือเปอตามีน่าอาจสร้างโรงกลั่นใหม่"นายอนนต์ กล่าว
เบื้องต้น PTTGC คาดว่าบริษัทร่วมทุนจะมีทุนจดทะเบียนราว 2.5 พันล้านเหรียญ แบ่งการใส่เงินลงทุนฝ่ายละครึ่ง ส่วนเงินลงทุนในโครงการอีก 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐจะมาจากเงินกู้ ทั้งนี้จะมีการพิจารณาว่าอาจจะมีผู้ร่วมทุนรายที่ 3 หรือไม่ โดยคาดปลายปีนี้คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาร่วมทุน (Joint Venture Agreement)
"อินโนีเซีย มองธุรกิจปิโตรเคมีเป็นธุรกิจดาวรุ่ง เขาเอา PTTGC เป็นโมเดล อินโดนีเซียเขามีอุตสาหกรรมเติบโตได้ดี เขาคิดว่าจะเอาไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็คทรอนิกส์ และวัสดุก่อสร่าง" นายอนนต์ กล่าว
นายอนนต์ กล่าวว่า PTTGC มีความพร้อมสำหรับการลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอย่างน้อยปีละ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งโครงการนี้ใช้เวลา 5 ปีก็จะมีกระแสเงินสดที่จะนำมาลงทุนได้ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนั้น ยังมีวงเงินออกหุ้นกู้อีก 2,000 ล้านเหรียญ ซึ่งบริษัทได้ออกหุ้นกู้มาแล้ว 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในช่วง 5 ปีแรกนี้กำหนดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) ไม่เกิน 0.7 เท่า อัตราหนี้สินต่อ EBITDA ไม่เกิน 2.4 เท่า
ส่วนความร่วมมือกับซิโนเคม คาดว่าในเดือนเม.ย.56 จะสรุปผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตโพลียูริเทน ในจีน โดยปัจจุบันมีความร่วมมือกันในด้านการตลาดในประเทศจีน
นายอนนต์ เปิดเผยอีกว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 5.5 แสนล้านบาท และ Ebitda Margin อยู่ที่ระดับ 10% ใกล้เคียงปีก่อน โดยใน 2 เดือนแรกปีนี้บริษัทมี Marketing GIM อยู่ที่ประมาณ 8-9 เหรียญ/บาร์เรล และ Marketing GRM ที่ 5 เหรียญ/บาร์เรล
"ช่วง 1-2 เดือนแรก ดูดีกว่าไตรมาส 4/55 ราคาปิโตรเคมีส่นใหญ่ดีกว่าปีที่ผ่านมา ได้อานิสงส์เศรษฐกิจขยายตัว แต่ราคาวัตถุดิบค่อนข้างหวือหวา คู่ค้าไม่อยากตุนสินค้า เฝ้าดูราคา"นายอนนต์ กล่าว