สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB196A (อายุ 6.2 ปี) LB176A (อายุ 4.2 ปี) และ LB21DA (อายุ 8.7 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 29,771 ล้านบาท 17,061 ล้านบาท และ 9,522 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13425C (อายุ 28 วัน) CB13417A (อายุ 14 วัน) และ CB13411B (อายุ 28 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 35,884 ล้านบาท 27,214 ล้านบาท และ 25,478 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) รุ่น BANPU214A (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 789 ล้านบาทและหุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT14DA (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 778 ล้านบาท และรุ่น TLT138A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 602 ล้านบาท ตามลำดับ
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัว ลดลงในช่วงประมาณ -1 ถึง-5 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงเล็กน้อย ขณะที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามามีผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ไทยแต่อย่างใด ในส่วนของสถานการณ์ต่างประเทศ พบว่านักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตหนี้ในยุโรป ภายหลังจากไซปรัสเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น โดยธนาคารในไซปรัสได้กลับมาเปิดทำการอีกครั้ง หลังจากปิดทำการมาเป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ ทำให้นักลงทุนบางส่วนโยกย้ายเงินลงทุนกลับเข้าไปในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ทางด้านความเคลื่อนไหวในประเทศไทย นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในวันที่ 3 เมษายน น่าจะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับร้อยละ 2.75 ตามเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยยังขยายตัวได้ดี ในขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อยังไม่น่ากังวลในขณะนี้ ประกอบกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังมีน้อย แม้ว่าค่าเงินบาทจะยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องก็ตาม
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 9,673 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการซื้อสุทธิ 4,152 ล้านบาท ทางด้านของนักลงทุนรายย่อยที่ถึงแม้จะมีสัดส่วนการลงทุนค่อนข้างน้อย แต่ยังมียอดซื้อสุทธิ 84 ล้านบาท