AGE เตรียมปั๊มยอดออเดอร์จากอินเดีย-จีนเพิ่มยอดขายต่างประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 3, 2013 10:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี(AGE) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดคำสั่งซื้อ(ออเดอร์)ในประเทศจีน ในช่วงครึ่งปีแรกไม่ต่ำกว่า 600,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากยอดขายของปี 55 ทั้งปีที่มียอดออเดอร์ 532,210 ตัน เป็นผลจากความต้องการใช้ถ่านหินในจีนเพิ่มสูงขึ้น จากการขยายตัวของโรงไฟฟ้า ประกอบกับการปริมาณการนำเข้าถ่านหินในประเทศเฉลี่ย 200 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ความต้องการใช้ต่อปีอยู่ที่ 3,500 ล้านตัน ดังนั้น เชื่อว่าอัตราการนำเข้าถ่านหินจากจีนยังมีแนวโน้มการขยายตัวได้ต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/56 บริษัทมีแผนขยายตลาดไปยังอินเดีย เนื่องด้วยแผนการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าของอินเดียที่คาดว่าจะสร้างกว่า 200 โรง หรือประมาณ 80,000 เมกกะวัตต์ ภายในปี 60 ซึ่งส่งผลให้อินเดียเป็นประเทศที่มีอัตราการนำเข้าถ่านหินเป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากจีน โดยคาดว่าการนำเข้าถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านตันต่อปี จากในปี 55 อินเดียมีการนำเข้าถ่านหินอยู่ที่ 98 ล้านตัน

ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ AGE ต้องเร่งบุกตลาดไปยังอินเดียมากขึ้น ล่าสุด บริษัทฯ มีลูกค้า ที่อยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญา ในการสั่งซื้อถ่านหิน เข้ามาแล้วประมาณ 2-3 ราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปดีลได้ และมียอดออเดอร์ ทยอยเข้ามาภายในไตรมาส 2 นี้อย่างแน่นอน

“ความต้องการใช้ถ่านหินในอินเดีย ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และประกอบกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นตามอย่างมาก ซึ่งทำให้ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาอินเดียมีความจำเป็นต้องพึ่งพิงกับการนำเข้าถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากกำลังการผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการ“นายพนม กล่าว

บริษัทตั้งเป้าประมาณการยอดขายถ่านหินของตลาดต่างประเทศ ในครึ่งปีแรกไม่ต่ำกว่า 600,000 ตัน ซึ่งยังไม่นับรวมออเดอร์จากอินเดียที่จะเข้ามาในไตรมาส 2/56 ทั้งนี้ หากยอดขายในต่างประเทศเป็นไปตามเป้าหมาย ก็จะทำให้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศในปีนี้ประมาณ 40% จากเป้าเดิมที่ 30% ของยอดขายทั้งหมด ส่วนยอดขายรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศของปี 56 คาดไว้ที่กว่า 2,200,000 ตัน ขณะที่รายได้คาดว่าจะแตะระดับ 6,000-6,500 ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปีนี้บริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ผลจากการดำเนินการตามแผนลดต้นทุน โครงการท่าเรือและคลังสินค้านครหลวงส่งผลให้บริษัทสามารถกลับมาทำ New High ในส่วนของกำไรสุทธิ ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นโครงการคลังสินค้าแบบประหยัดพลังงาน และได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI โดยยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ลดการขนส่งด้านโลจิกติกส์ ที่สามารถช่วยลดต้นทุนให้แก่บริษัทฯได้เฉลี่ยปีละกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจากปัจจัยดังล่าวในข้างต้นได้รับอานิสงส์ให้อัตราการทำกำไรต่อปีจะเพิ่มสูงขึ้น 1-2% ต่อปี โดยสามารถรับรู้ได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/55 ที่คลังสินค้าเริ่มเปิดดำเนินการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ