ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต การคงอันดับเครดิตภายในประเทศพิจารณาจากการเพิ่มทุนของ FNS จำนวน 213 ล้านบาทที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปเมื่อไตรมาสที่ 4 ปี 2555 ส่งผลให้ระดับหนี้สินและสภาพคล่องของบริษัทปรับตัวดีขึ้นหลังจากการเพิ่มทุน ผลการดำเนินงานของ FNS แม้ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังปี 2555 แต่บริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานขาดทุนสำหรับผลการดำเนินงานเต็มปี
แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบสะท้อนถึงความคาดหมายของฟิทช์ที่เชื่อว่ารายได้และแนวโน้มธุรกิจของ FNS และบริษัทในกลุ่ม น่าจะยังคงอ่อนแอและผันผวนในระยะปานกลาง และอาจจะยังคงเป็นแรงกดดันต่อฐานะเงินทุนและเป็นข้อจำกัดต่อการปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของผลการดำเนินงาน ระดับหนี้สิน และสภาพคล่อง ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อดันดับเครดิตได้แก่ หากบริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานขาดทุนอย่างต่อเนื่องสำหรับปี 2556 การปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (leverage) การที่บริษัทไม่สามารถรักษาระดับสินทรัพย์สภาพคล่องและวงเงินกู้ที่เป็นวงเงินแบบผูกพัน (committed credit facility) ให้เพียงพอเมื่อเทียบกับระดับหนี้สินระยะสั้น การที่ผู้ถือหุ้นหลักหรือผู้บริหารหลักของบริษัทให้การสนับสนุนบริษัทลดลงหรือการที่บริษัทไม่สามารถต่อสัญญาวงเงินกู้ ในกรณีที่มีการเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ อาจส่งผลให้อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการปรับลดลงหลายอันดับในคราวเดียว
การปรับตัวดีขึ้นของระดับหนี้สินและสภาพคล่องทั้งในส่วนของสถานะทางการเงินเฉพาะของบริษัทและสถานะทางการเงินรวมของกลุ่ม อาจจะส่งผลให้แนวโน้มอันดับเครดิตได้รับการปรับมาเป็นมีแนวโน้มเสถียรภาพได้ อย่างไรก็ตามการอันดับเครดิตไม่น่าจะได้รับการปรับเพิ่มขึ้นภายใต้ลักษณะการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปัจจุบัน ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของภาวะตลาดเงินตลาดทุน
FNS มีผลขาดทุนลดลงเป็น 34 ล้านบาท ในปี 2555 เทียบกับผลขาดทุนจำนวน 150 ล้านบาทในปี 2554 แม้ว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจวาณิชธนกิจ แต่บริษัทก็มีผลขาดทุนที่สูงที่มาจากส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม ได้แก่ พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ (PD) เนื่องจากความล่าช้าในการขายสินทรัพย์ของบริษัทตามแผน เงินกู้ยืมระยะสั้นของ FNS ปรับตัวลดลงเป็น 318 ล้านบาท หรือ 24% ของส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2555 (เทียบกับ 560 ล้านบาท หรือ 50% ของส่วนของผู้ถือหุ้น ณ ครึ่งปีแรกปี 2555) อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อเงินกู้ยืมระยะสั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นระดับเกินกว่า 100% ณ สิ้นปี 2555 จากประมาณ 37% ณ ครึ่งปีแรกปี 2555 เงินกู้ยืมระยะสั้นคาดว่าจะปรับตัวลงเป็น 250 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2556 การปรับตัวดีขึ้นของอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อเงินกู้ยืมระยะสั้นและวงเงินกู้แบบผูกพันการให้กู้จำนวน 270 ล้านบาท น่าจะช่วยลดความเสี่ยงในด้านสภาพคล่องในระยะสั้นได้ในระดับหนึ่ง
แม้ว่าระดับหนี้สินของ FNS และบริษัทในกลุ่ม (งบการเงินรวม) จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.2 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.4 เท่า แต่ระดับหนี้สินเฉพาะของบริษัทโฮลดิ้งส์อยู่ในระดับที่สูงกว่ามากที่ 1.1 เท่า ทั้ง 2 อัตราส่วน เนื่องจากบริษัทมีการกู้ยืมเงินจำนวนมากจากบริษัทลูก ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนเงินลงทุนในบริษัทลูกและบริษัทร่วมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (double leverage ratio) อยู่ในระดับที่สูงที่ 179%
FNS มีแผนที่จะลงทุนโดยตรงในสินทรัพย์ของ PD ในปี 2556 โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในคลังสินค้าและโรงงานเพื่อเช่า แหล่งที่มาของเงินลงทุนในโครงการดังกล่าวคาดว่าจะมาจากการขายเงินลงทุนบางส่วนใน PD และการขายเงินลงทุนในกองทุนต่างประเทศ การลงทุนดังกล่าวน่าจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ของบริษัทได้ในระดับหนึ่ง แผนการเพิ่มทุนที่อยู่ระหว่างดำเนินงานอีกประมาณ 80 ล้าน ให้แก่บุคคลในวงจำกัด ถ้าเสร็จสิ้นเงินที่ได้จะนำไปใช้เพื่อการลงทุนในอนาคต