"ทุกธุรกิจที่พลาดเป้าไม่มีความจำเป็นต้องรื้อแผนใหม่ แต่ต้องมีการประเมินว่ามีสาเหตุอะไรที่ทำให้เกิดขึ้น ในระยะนี้บริษัทยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มหรือลดการสร้างหนัง การลงทุนทำหนัง 1 เรื่อง ต้องใช้ระยะเวลา 3-6 เดือน แต่การที่หนังคู่กรรมที่เราได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงพลาดเป้านั้นทำให้เราต้องหันมาทบทวนผลตอบรับจากตลาด ทบทวนแผนการตลาดใหม่ และหันกลับมาดูตัวคอนเทนต์ของเราว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เป็นเรื่องปกติของทุกเราที่ต้องนำเรื่องที่เกิดขึ้นกลับมาทบทวนดูสาเหตุที่เกิดขึ้นว่ามาจากอะไร ไม่ว่าจะเป็นหนังที่เข้าเป้าหรือพลาดเป้าก็ตาม แต่เรายังยืนยันจะผลิตหนังในปีนี้ 6 เรื่อง เงินลงทุนเฉลี่ย 20-30 ล้านบาท/เรื่อง"นายฐิตกร กล่าว
สำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศที่ลริษัทเตรียมนำมาลงโรงฉายในปีนี้มีจำนวน 44 เรื่อง ซึ่งระยะเวลาการเข้าฉายขึ้นอยู่กับต่างประเทศจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยภาพยนตร์จากต่างประเทศที่เข้าฉายในปีนี้บริษัทได้ตกลงซื้อมาตั้งแต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
นายฐิตกร กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 56 อยู่ที่ 980-990 ล้านบาท หรือมีโอกาสแตะ 1,000 ล้านบาท จากประมาณการหนังที่เข้าฉายน่าจะทำรายได้ให้กับบริษัทได้ดี แต่ยอมรับว่าบริษัทยังมีธุรกิจโฮมวีดิโอที่เป็นตัวฉุดรายได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ถดถอยจากผลกระทบการละเมิดลิขสิทธิ์ในปัจจุบัน ทำให้ศูนย์เช่าดีวีดีและยอดจำหน่ายดีวีดีที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ลดลงไปอย่างมาก ส่งผลต่อสัดส่วนรายได้โฮมวีดิโอของบริษัทลดลงเป็น 40% จากเดิม 60% และมีผลต่อการพิจาณาหาสตูดิโอใหม่มาผลิตภาพยนตร์ลงแผ่นดีวีดีหลังจากหมดสัญญากับโซนี่สตูดิโอไปเมื่อปีที่แล้ว
"การเติบโตของบริษัทนั้นถ้าจะเติบโตตาม MAJOR คงพูดได้อย่างลำบาก เนื่องจากโรงภาพยนตร์เป็นฮาร์ดแวร์ ตัวภาพยนตร์ที่นำมาฉายเป็นซอฟท์แวร์ ซึ่งของเราแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ภาพยนตร์ไทย ภาพยนตร์ต่างชาติ และโฮมวีดิโอ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจโฮมวีดิโออยู่ในช่วงถดถอยลงจากการละเมิดลิขสิทธิ์ ศูนย์เช่าดีวีดีเริ่มหายไป ยอดขายแผ่นดีวีลดลง ทำให้เป็นตัวฉุดรายได้ของเรา ซึ่งทำให้ไม่สามารถเติบโตแบบMAJORได้
หลังจากที่หมดสัญญากับโซนี่สตูดิโอไปเมื่อปีที่แล้ว ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนจะเพิ่มหรือไม่เพิ่มสตูดิโอใหม่ เพื่อมาทดแทนโซนี่สตูดิโอ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสตูดิโอจากดีสนีย์และการ์ตูนเน็ตเวิร์คอยุ่แล้ว ถ้าเพิ่มไปแล้วไม่มีกำไรเราก็ไม่อยากทำ แต่เราจะไปเน้นการบริหารสิทธิ์แทนและขายสิทธิ์การผลิตดีวีดีที่เราร่วมมือกับDNA และขายสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยและต่างชาติให้กับช่องโทรทัศน์และสื่อดิจิตอล และเน้นการขายสปอนเซอร์ให้กับหนังของเรา ถึงแม้สัดส่วนรายได้ในส่วนนี้ยังไม่มากแต่มีแนวโน้มการเติบโตที่สูง และเป็นจุดแข็งของเราเกี่ยวกับการบริหารภาพยนตร์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้เราสามารถ Turn aroundได้"นายฐิตกร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ในไตรมาส 1/56 จะออกมาดีกว่าไตรมาส 4/56 เนื่องจากไตรมาสแรกเป็นช่วงที่มีเทศกาลต่อเนื่องมาจากสิ้นปี 55 ถือว่าเป็นไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ แต่ในไตรมาส 2/56 และ ไตรมาส 3/56 แนวโน้มรายได้ของบริษัทคาดว่าจะลดลง เนื่องจากมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศมาเข้าฉาย ทำให้ภาพยนตร์ต่างชาติที่ฟอร์มไม่ใหญ่ที่บริษัทซื้อมามีโอกาสสร้างรายได้น้อย
อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายไตรมาส 2/56 ก็ยังมีภาพยนตร์ไทยที่บริษัทลงทุนสร้างเข้าฉาย แต่อาจโดนภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์กลบกระแส และหลังจากหมดช่วงซัมเมอร์ของสหรัฐฯในสิ้นเดือนกรกฎาจะเริ่มมีภาพยนตร์จากต่างชาติที่บริษัทมีแผนนำมาเข้าฉายตามมา ซึ่งทำให้ในครึ่งปีหลังรายได้น่าจะสดใส
โดยเฉพาะในไตรมาส 4/56 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งภาพยนตร์ของบริษัทที่จะเข้าฉายมีทั้งภาพยนตร์ไทยและต่างชาติที่มีความโดดเด่นและน่าสนใจ จะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก ทั้งนี้บริษัทคาดว่าในปีนี้จะสามารถพลิกฟื้นกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง โดยตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิปี 56 อยู่ที่ 1-2% จากปี 55 ที่ติดลบกว่า 30%
อนึ่ง MPIC และบริษัทย่อย แจ้งผลประกอบการปี 55 ขาดทุน 314.7 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.49 บาท ลดลงจากปีก่อนหน้าที่กำไร 61.13 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.10 บาท