“ปัจจัยต่างๆที่เขามากดดันตลาด ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ทำให้วอลุ่มของตลาดหุ้นในช่วงระยะสั้นค่อนข้างเบาบาง ซึ่งถือเป็นช่วงขาลงของตลาด ขณะเดียวกันมองว่าหากนักลงทุนที่ต้องการเข้าลงทุน ก็แนะนำให้หาจังหวะการเลือกลงทุนในหุ้นที่เหมาะสม โดยเน้นหุ้นปัจจัยพื้นฐาน พร้อมทั้งแนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุนจากหุ้นมาลงทุนในทองคำบางส่วน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง"นายธนพิศาล กล่าว
ขณะเดียวกัน ช่วงกลางเดือนหน้าจะมีการทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/56 โดยธนาคารพาณิชย์ จะเป็นบริษัทจดทะเบียนกลุ่มแรกที่จะทยอยประกาศงบออกมา ซึ่งจากการประมาณการเบื้องต้นคาดว่ากลุ่มดังกล่าวจะมีผลการดำเนินงานที่ดี ก็จะส่งผลต่อตลาดหุ้นในเชิงบวก และจะเกิดแรงหนุนในการซื้อกลับของกลุ่มนักลงทุน
ด้านนายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวลงทดสอบจุดต่ำสุดเดิมที่ 1,465 ถึง 1,440 ในที่ผ่านมา ดังนั้น ในระยะสั้นถึงกลางดัชนีมีแนวโน้มที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ จึงแนะนำกลยุทธ์พอร์ตเก็งกำไรระยะสั้นให้เล่นรีบาวด์ที่แนวรับ โดยนักลงทุนที่ลงทุนในพอร์ตระยะ 3 เดือน ถึง 6 เดือน แนะรอดูแรงขายที่ระดับต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ก่อนพิจารณาซื้อกลับในบริเวณแนวรับ 1,440-1,400 จุด
"โดยส่วนตัวเชื่อว่าเม็ดเงินทุนต่างชาติยังคงไม่ออกไปยังตลาดอื่น และยังคงพักฐานอยู่ในตลาดไทย เพื่อรอจังหวะการเข้าซื้อรอบใหม่ โดยหุ้นที่แนะนำ บมจ.แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี(AIT), บมจ.ทักษิณคอนกรีต(SCP), บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์(TASCO), บมจ.เอ็ม บี เค(MBK), บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน(AMATA) นอกจากนี้ที่มองว่าจะเป็น Top Picks ไตรมาส 2/56 และเก็งกำไรธนาคารกรุงไทย(KTB), บมจ.ทุนธนชาต(TCAP) จากงบไตรมาส 1/56 ที่จะออกมาเติบโตโดดเด่น"นายจักรกริช กล่าว