สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB21DA (อายุ 8.7 ปี) LB196A (อายุ 6.2 ปี) และ LB176A (อายุ 4.2 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 29,075 ล้านบาท 20,390 ล้านบาท และ 18,894 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13430A (อายุ 14วัน) CB13509C (อายุ 28 วัน) และ CB13711B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 41,876 ล้านบาท 32,178 ล้านบาท และ 26,739 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT138A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 1,311 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) รุ่น CPN171A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 533 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) รุ่น IVL174B (A+) มูลค่าการซื้อขาย 453 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงในช่วงประมาณ -1 ถึง -15 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมายังค่อนข้างนิ่ง หลังจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามามีผลกระทบต่อตลาด อัตราผลตอบแทนที่ปรับตัวลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวลดลงตามผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ (US Treasury) ตามแรงซื้อที่เข้าสู่สินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ (Safe Haven) หลังจากบรรยากาศในคาบสมุทรเกาหลีเริ่มมีความตึงเครียดมากขึ้น
สำหรับการแข็งค่าของเงินบาทไปอยู่ที่ระดับ 28.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และถือเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้มีการลอยตัวค่าเงินบาทในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้เหตุผลของแข็งค่าอย่างรวดเร็วว่ามีสาเหตุมาจาก 1) มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น ที่อัดฉีดเงินเข้าระบบ 7 ล้านล้านเยนต่อเดือน ส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก และ 2) เงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (BTSGIF) ซึ่ง ธปท. ได้ทำการติดตามและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงชองค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และมีมาตรการเตรียมพร้อมรับมืออย่างเหมาะสม
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 33,126 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการซื้อสุทธิถึง 25,270 ล้านบาท ทางด้านของนักลงทุนรายย่อย ถึงแม้จะมีสัดส่วนของการซื้อขายค่อนข้างน้อย แต่ในสัปดาห์นี้ยังคงมียอดซื้อสุทธิ 829 ล้านบาท