ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ในปีนี้จะทำได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินเปล่าในนิคมอุตสาหกรรม 200 ไร่ ราคาเฉลี่ยไร่ละ 9 ล้านบาท คิดเป็นรายได้ราว 1.8 พันล้านบาท
และบริษัทจะมีขายโรงงานและคลังสินค้าเข้าเป็นสินทรัพย์ของกองทุนอสังหาฯเพิ่มอีกราว 2.8 พันล้านบาท แบ่งเป็นในไตรมาส 2/56 ขายโรงงานที่มีผู้เช่าแล้วคิดเป็นมูลค่า 975 ล้านบาท หรือขนาดรวม 3 หมื่นตารางเมตร และในไตรมาส 4/56 จะขายโรงงานเข้ากองทุนเพิ่มอีก 2.6 หมื่นตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าราว 1.8 พันล้านบาท ขณที่มีแผนสร้างโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มอีก 1 แสน ตร.ม.ในปีนี้
นอกจากนั้น ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไตรมาส 2/56 บริษัทมีกำหนดจะรับรู้รายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่สุขุมวิท 15 ราว 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มียอดขายแล้ว 60% ของมูลค่าโครงการรวม 3.3 พันล้านบาท
นายอภิชัย ยังเปิดเผยว่า ในปี 57 บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรยังเติบโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท มียอดขายที่ดิน 250 ไร่ พร้อมทั้งมีแผนสร้างโรงงานและคลังสินค้าเพิ่มอีก 1.5 แสนตารางเมตร
"ตอนนี้เรามีแลนด์แบงก์ราว 1,000 ไร่ ในนิคมฯ ทีเอฟดีย่านบางนาตราดถือว่าเป็นทำเลที่ได้เปรียบและเป็นพื้นที่สีม่วงสามารถตั้งราคาเช่าได้ดีที่ 220 บาท/ตร.ม.ได้เปรียบกว่านิคมฯอื่น แลนด์แบงก์ที่มีอยู่น่าจะรองรับการพัฒนาได้อีก 4-5 ปีและยังมีที่ดินที่ยังมีโอกาสที่จะขยายเพิ่มได้อีก"นายอภิชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะยุติการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลังจากเสร็จสิ้นการพัฒนาคอนโดมิเนียม 2 โครงการภายใน 2-3 ปี โดยเป็นโครงการที่เขาเต่า อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มูลค่า 3.5 พันล้านบาท ซึ่งเริ่มการก่อสร้างและคาดว่าแล้วเสร็จในอีก 2 ปี มียอดขายแล้ว 20% ส่วนอีกแห่งเป็นพื้นที่เช่า 30 ปีของพระคลังข้างที่ใน อ.หัวหิน มีแผนสร้างเป็นคอนโดมิเนียม 43 ชั้น มูลค่าราว 3 พันล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างทำประชาพิจารณ์คาดแล้วเสร็จต้นพ.ค.หลังจากนั้นจะยื่นขอ EIA และเริ่มขายปลายปี 56 คาดว่าก่อสร้างเสร็จใน 2-3 ปี
นายอภิชัย กล่าวว่า การยุติธุรกิจดังกล่าวเนื่องจากมองว่าราคาที่ดินปรับสูงขึ้นมาก โดยปีนี้ราคาที่ดินปรับขึ้นจากปีก่อน 30% ประกอบกับการรับรู้รายได้คอนโดฯใช้เวลานานถึง 2 ปี ดังนั้น บริษัทจึงเห็นว่าควรหันมาเน้นทำธุรกิจที่มีความชำนาญดีกว่า