"แนวโน้มน่าจะจ่าย (ปันผล)ดี เพราะผลประกอบการบริษัทดีขึ้น...กองทุน BTSGIF เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ที่จะสร้างรายได้ให้ผุ้ถือหน่วยต่อเนื่อง และมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่าเงินฝาก และจะมีการลงทุนส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ" นายคีรี กล่าว
ขณะที่บริษัทมีแผนจะขยายกองทุน BTSGIF หากได้รับสัมปทานเพิ่มเติมจากปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หลังจากขายกองทุน BTSGIF แล้วบริษัทจะมีเงินสดในมือ 3 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้สำหรับขยายการลงทุน แต่หากได้สัมปทานโครงการใหม่เพิ่มมามูลค่าเกิน 3 หมื่นล้านบาท บริษัทก็สามารถกู้เวินจากสถาบันการเงินเพิ่มได้อีก
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาการปรับขึ้นค่าโดยสารคาดว่าจะใข้เวลาสรุปภายใน 1 เดือน หลังจากในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ปรับขึ้นค่าโดยสาร ขณะที่ต้นทุนปรับขึ้นไปสูง อย่างไรก็ตาม คาดว่าคงจะไม่ปรับขึ้นไปชนเพดานที่ 56 บาท แต่จะพิจารณาตามความเหมาะสม โดยปัจจุบันรถไฟฟ้า BTS เก็บค่าโดยสารที่ 15-40 บาท/เที่ยว
นายคีรี มองว่า ปริมาณผู้โดยสารถไฟฟ้ายังมีโอกาสเติบโตสูงมาก หลังจากทำสถิติสูงสุดที่ 7.5 แสนเที่ยว/วัน และหากเฉลี่ย 13 ปีทีผ่านมา จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 11% และเชื่อว่ายังโตได้ต่อเนื่อง เพราะยังมีความต้องการใช้รถไฟฟ้าจากการขยายตัวของศูนย์การค้า คอนโดมิเนียม ตามแนวรถไฟฟ้า
ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น บริษัทจะมอบหมายให้บริษัท บีทีเอส แอสเสทส์ เป็นผู้ลงทุน ซึ่งมองว่าตอนนี้เป็นจังหวะการลงทุนที่ดี เพราะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ เริ่มชะลอการลงทุน ดังนั้น จะใช้เวลาจังหวะช่วงนี้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ ขึ้นมาบ้าง