พร้อมทั้งมองว่าแนวโน้มราคาถ่านหินโลก ในปีนี้ เริ่มมีการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเห็นได้จากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีราคาถ่านหิน (ICI Index) ในช่วงที่ผ่านมา
“แนวโน้มความต้องการใช้ถ่านหินในประเทศดังกล่าว มีความต้องการสูงรองลงมาจากจีน ดังนั้นจึงมองว่าอินเดียยังคงเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต โดยจะเห็นได้จากการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะมีการก่อสร้างกว่า 200 โรง หรือประมาณ 78,000 เมกกะวัตต์ ภายในปี 60 ดังนั้น จึงมองว่าความต้องการใช้ถ่านหินในอินเดียจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านตันต่อปี ขณะที่ปี 55 อินเดีย มีอัตราการนำเข้าถ่านหินอยู่ที่ 98 ล้านตัน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวจึงมองว่าอินเดียน่าจะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ได้ในอนาคต"นายพนม กล่าว
ทั้งนี้ จากยอดขายของประเทศอินเดียที่เพิ่มเข้ามา ทำให้บริษัทฯ ตั้งประมาณการยอดขายต่างประเทศ ในครึ่งปีแรกไว้ที่ 700,000 ตัน โดยแบ่งเป็นยอดขายจากจีน 600,000 ตันและอินเดีย 100,000 ตัน และหากยอดขายในต่างประเทศ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ก็จะส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศในปีนี้ประมาณ 40% ของยอดขายรวมทั้งหมด และยอดขายในประเทศ 60% ทำให้ประมาณการยอดขายถ่านหินรวมภายในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2,200,000 ตัน ส่งผลให้มีรายได้รวมแตะระดับ 6,000-6,500 ล้านบาทตามประมาณการที่บริษัทฯคาดการณ์ไว้
ส่วนแผนการตลาดในประเทศนั้น บริษัทยังคงเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิมให้ได้มากที่สุด เนื่องจากมองว่ายอดขายในประเทศอยู่ในระดับทรงตัว ดังนั้นจึงมองว่าการขยายตลาดในประเทศคงต้องใช้ระยะเวลา เพื่อต่อยอดในอนาคต แต่ทั้งนี้ บริษัทฯ มีโครงการท่าเรือและคลังสินค้า สาขานครหลวง จ.อยุธยา ซึ่งเป็นโครงการที่สามารถลดต้นทุนได้เฉลี่ยปีละกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราการทำกำไรต่อปี เพิ่มสูงขึ้น 1-2% ต่อปี โดยการลดต้นทุนดังกล่าวจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนในปี 56