ส่วนการที่แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ ดังนั้นอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.3 เท่า ณ ปลายปี 56 และในอนาคตก็จะทยอยลดลง เมื่อมีการชำระคืนหนี้เงินกู้
สำหรับประโยชน์ที่ได้จากการซื้อกิจการคือ อำนาจในการต่อรองการสั่งซื้อสินค้ามาจำหน่ายจาก vendors จะแข็งแกร่งมาก อีกทั้งสามารถใช้สาขาของ MAKRO ที่มีอยู่มาบริหารให้มีประสิทธิภาพ โดยสาขาที่ตั้งของ MAKRO นั้นมีทำเลที่ดี สามารถนำมาใช้เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้า (DC) ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถใช้ MAKRO ในการบุกตลาดในโซนเอเซีย เพราะไม่มีข้อจำกัดแต่อย่างใด ทั้งนี้การจะมีการรวมกันอย่างเป็นทางการตั้งแต่ ก.ค.56 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นและประโยชน์จากการซื้อในช่วงแรกๆจะยังไม่เห็นผลนัก จึงได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 56 ลง 3% แต่เพิ่มกำไรสุทธิปี 57 อีก 8% เพื่อสะท้อนอัตรากำไรที่สูงขึ้น และได้รับกำไรจากการทำงบรวมกับ MAKRO เต็มปี
ทั้งนี้ ปรับลดราคาพื้นฐานลงเป็น 51 บาทต่อหุ้นสะท้อนการปรับลดประมาณการปี 56 และประเมินด้วย PEG ปี 56 ที่ 1.2 เท่า สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น CPALL ก่อนหน้าที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลว่าจะมีการเพิ่มทุนมาซื้อ MAKRO แต่มาถึงวันนี้ก็ไม่เรื่องเพิ่มทุน เมื่อได้สะท้อนเรื่อง synergies ที่เกิดขึ้นแล้วและแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่สูง ราคาปิดมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานใหม่ได้อีก 17%
บทวิเคราะห์จาก บล.เกียรตินาคิน แนะนำ"ซื้อ"CPALL ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 63.00 บาท แม้ซื้อ MAKRO แพงกว่ามูลค่าทางบัญชีหุ้น MAKRO ถึง 18 เท่า และสูงกว่าราคาตลาด 15% แต่ระยะยาวเรามีมุมมอง“บวก”ต่อโอกาสเติบโตโดยเฉพาะผลจากการประหยัดต่อขนาด การใช้ประโยชน์ร่วมกันจากระบบกระจายสินค้า และโอกาสขยายสาขาต่างประเทศ
การซื้อกิจการครั้งนี้ของ CPALL อาศัยจุดแข็งจากสถานะ Debt free และหลีกเลี่ยงการเพิ่มทุน โดยบริษัทจะกู้เงินราว 90% ของมูลค่าการซื้อกิจการทั้งหมด หรือประมาณ 170,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 10% ใช้กระแสเงินสดที่มีประมาณ 20,000 ล้านบาท เราประเมินอิงสมมติฐานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ต่อปี คาดว่า CPALL มีภาระค่าใช้จ่ายการเงินเพิ่มราว 5,100 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วน D/E และ Net debt / EBITDA ปีนี้จะเพิ่มเป็น 5.8 เท่าและ 3.9 เท่าตามลำดับ
เราประเมินผลประกอบการ CPALL หลังรวมกิจการ MAKRO อิงสมมติฐานยอดขายต่อปีของ MAKRO เติบโต 10% อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 8.5% ส่วน CPALL ใช้สมมติฐานประมาณการเดิม โดยปีนี้คาดจะมีกำไรสุทธิ 12,915 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.44 บาท ดีขึ้น 4% จากประมาณการก่อนรวมกิจการ ซึ่งเท่ากับการควบรวมจะเกิด Synergy บนประมาณการเรา และคาดว่าผลบวกจากการควบรวมจะเริ่มเห็นเต็มปี 2557 เป็นต้นไป ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2556-2558 ของ CPALL จะเติบโตเฉลี่ย 24% (CAGR 2556-2558) ดีขึ้นเทียบกับก่อนควบรวมเติบโต 12% ทั้งนี้ ราคาหุ้นปิดล่าสุดที่ 43.50 บาท ลดลง 2.75 บาท (-5.95%) เมื่อ 22 เม.ย.