แต่บริษัทมั่นใจว่าในไตรมาส 2/56 ยอดขายและรายได้จะสูงขึ้นจากไตรมาส 1/56 เนื่องจากบริษัทจะทยอยเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 1 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 2 พันล้านบาท และโครงการแนวราบอีก 3-4 โครงการ จากนั้นในช่วงไตรมาส 3/56 จะเปิดโครงการใหม่จำนวนมากที่สุดของปีนี้
"ยอมรับว่าไตรมาส 1/56 จะเป็นช่วงที่มียอดขายและรายได้ต่ำที่สุดในปีนี้ เพราะไม่ได้เปิดโครงการคอนโดฯใหม่ ซึ่งจะทำยอดขายได้ดีกว่าแนวราบ" นายไตรเตชะ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท และรายได้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ 25 โครงการทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด มูลค่ารวมกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน(backlog)ราว 3 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 8 พันล้านบาท
ขณะที่บริษัทยังมีแผนระดมทุนด้วยการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในช่วงไตรมาส 2-ไตรมาส 3/56 วงเงินราว 1-2 พันล้านบาท
นายไตรเตชะ กล่าวว่า บริษัทไม่ได้กังวลต่อการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ติดตามความเสี่ยงภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ โดยมองว่าปริมาณที่อยู่อาศัยในตลาดยังมีทิศทางสอดคล้องกับยอดขายที่สูงขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หันมาเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้นจึงหันมาเลือกซื้อคอนโดมิเนียมกันมากกว่าการซื้อบ้านเดี่ยวอยู่เป็นครอบครัวใหญ่
นอกจากนี้ยังพบว่าลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่ยังเป็นการซื้อเพื่ออยู่จริง แต่ยอมรับว่ายังมีบางส่วนที่เป็นการซื้อเพื่อการลงทุนเก็งกำไร เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่ายังมีความต้องการสูง และให้ผลตอบแทนได้ดี
ส่วนการที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หันไปบุกตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากมีความต้องการซื้อที่สูงขึ้นนั้น SPALI ไม่ได้มีความกังวลแม้จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะพัฒนาเป็นโครงการในลักษณะคอนโดมิเนียม ขณะที่บริษัทจะเน้นเป็นโครงการแนวราบ ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าแตกต่างกัน