(เพิ่มเติม) SCC ตั้งเป้าปี 56 มียอดขายรวม 4.35 แสนลบ.กำไรเติบโตจากปีก่อน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 24, 2013 16:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย(SCC)ตั้งเป้าปี 56 ยอดขายรวม 4.3 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 4.07 แสนล้านบาท และกำไรจะเติบโตขึ้นจากปีก่อน ขณะที่บริษัทเตรียมงบลงทุนในปีนี้กว่า 4 หมื่นล้านบาท จากแผนลงทุน 5 ปีที่ตั้งวงเงินไว้ 2 แสนล้านบาท

บริษัทคาดว่าปริมาณความต้องการปูนซิเมนต์ในประเทศปีนี้เติบโต 10% เนื่องจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ทำให้มีความต้องการใช้ซิเมนต์เพิ่มมากขึ้น และมั่นใจว่าจะสามารถจัดหาซีเมนต์เพียงพอรองรับต่อความต้องการ ขณะที่ยังไม่มีแผนปรับขึ้นราคาขาย แม้ว่าต้นทุนของบริษัทจะปรับเพิ่มสูงขึ้น

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าวว่า ในปี 56 ยังคงเป้ายอดขายรวมที่ 4.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ และมั่นใจว่ากำไรจะเติบโตจากปีก่อนแน่นอน โดยยอดขายในธุรกิจเคมิคอลส์ ปีนี้คาดว่ายอดขายจะน้อยกว่าปีก่อน 1-2% เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานในไตรมาส 4/56 ราว 45 วัน ส่วนธุรกิจซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง มองความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศจะเติบโตจากปีก่อน 10% จากภาคที่อยู่อาศัย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ และการลงทุนเชิงพาณิชย์ ขณะที่ตลาดในอาเซียนยังเติบโตได้ดีมาก ทั้งอินโดนีเซีย ที่คาดเติบโต 10% พม่า กัมพูชา มีอัตราการเติบโตที่ดีมาก ส่วนตลาดในยุโรป และสหรัฐ ยังชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจแต่เริ่มดีขึ้น คาดว่ายังใช้เวลาอีก 1-2 ปี ที่เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป จะฟื้นตัวชัดเจน

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีการปรับราคาขายปูนซีเมนต์ในประเทศ โดยยังทรงตัวในระดับเดิม แม้ว่าต้นทุนจะสูงขึ้น ทั้งจากต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นราว 200 ล้านบาท รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำต้นทุนเพิ่มอีก 130-140 ล้านบาท

"การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จะทำให้ความต้องการใช้ซีเมนต์มีเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ต้องดูความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุนก่อน เช่นในโครงการรถไฟความเร็วสูง อาจมีความต้องการใช้คอนกรีตในการยกระดับโครงสร้าง แต่มั่นใจว่าจะสามารถจัดหาปูนได้เพียงพอรองรับความต้องการ" นายกานต์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังคงขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบลงทุน 5 ปี ที่ 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อกิจการ 4.5 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้ตั้งงบลงทุนปกติ และซื้อกิจการรวม 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งงบลงทุนในธุรกิจซีเมนต์ ระยะ 5 ปี เป็นเงินลงทุนราว 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยระยะ 3 ปี ใช้เงินลงทุน 900 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ ระบบจัดจำหน่ายและระบบขนส่ง แบ่งเป็นในประเทศอินโดนีเซีย ใช้เงิน 400 ล้านเหรียญฯ คาดแล้วเสร็จในปลายปี 58 ในพม่า 400 ล้านเหรียญ คาดแล้วเสร็จปลายปี 58 เช่นกัน และกัมพูชา ไม่เกิน 200 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จ ไตรมาส 1/ 59 หลังจากนั้นจะเพิ่มสายการผลิตอีก 2 สาย ใช้เงินลงทุนอีก 600 ล้านเหรียญสหรัฐ

การขยายธุรกิจซีเมนต์ดังกล่าว จะทำให้กำลังการผลิตของ SCC เพิ่มอีก 4.5 ล้านตัน/ปี ในปี 58 จากปัจจุบันอยู่ที่ 24 ล้านตัน/ปี ยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน รองจากกลุ่มโฮลซิม

สำหรับธุรกิจเคมิคอลส์ พบว่าราคาปิโตรเคมีมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยสเปรด HDPE กับนาฟทา เฉลี่ยปี 55 อยู่ที่ 437 เหรียญสหรัฐ/ตัน ไตรมาส 1/56 อยู่ที่ 531 เหรียญสหรัฐ/ตัน และ 3 สัปดาห์ของไตรมาส 2/56 อยู่ที่ 577 เหรียญสหรัฐ/ตัน ล่าสุดอยู่ที่ 607 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนสเปรด PP ในไตรมาส 4/55 อยู่ที่ 514 เหรียญสหรัฐ/ตัน ไตรมาส 1/56 อยู่ที่ 581 เหรียญสหรัฐ/ตัน ช่วง 3 สัปดาห์ของไตรมาส 2/56 อยู่ที่ 620 เหรียญสหรัฐ/ตัน และล่าสุดที่ 637 เหรียญสหรัฐ/ตัน

"ปกติสเปรดปิโตรเคมีจะอ่อนตัวลงในไตรมาส 2 แต่ไตรมาส 3 จะดีขึ้น เป็นช่วง high season คาดว่าครึ่งปีหลัง คาดว่าสเปรดจะดีกว่าครึ่งปีแรก" นายกานต์ กล่าว

นายกานต์ กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ไม่น่าส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงมีเงินกู้เป็นสกุลดอลลาร์ และมีการสั่งซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศเป็นสกุลดอลลาร์เช่นกัน โดยไตรมาส 1/56 มีการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1 พันล้านบาท จากการตีมูลค่าทรัพย์สิน 600 ล้านบาท และกำไรจากการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 400 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ