ทั้งนี้ นายธนินท์ ยอมรับว่าราคาซื้อหุ้น MAKRO ค่อนข้างแพง แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในอนาคต ถือว่าคุ้มราคา ซึ่งทาง CPALL มีแผนจะขยายสาขา MAKRO ในต่างประเทศ อีกทั้งอาจจะมีการพัฒนาร้านสาขาไปสู่รูปแบบของซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย
"การซื้อ MAKRO แม้จะซื้อของแพงในวันนี้แต่จะเป็นของถูกในวันข้างหน้า เชื่อว่า MAKRO จะมีศักยภาพในการสร้างกำไรให้กับบริษัท แลการที่ซื้อ MAKRO ทำให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ จากเดิมที่ CPALL มีข้อจำกัด"นายธนินท์ กล่าว
ทั้งนี้ MAKRO มีฐานลูกค้าตั้งแต่ระดับแม่ค้าจนไปถึงภัตตาคาร และมีบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ แต่ที่ไม่ได้ขยายสาขามากในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทแม่ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่นัก ซึ่งเมื่อ CPALL เข้ามาซื้อกิจการก็จะส่งทีมงานที่มีศัภยกาพเข้าไปเสริม เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของ MAKRO ในอนาคตทั้งในและต่างประเทศ
แม้ว่า CPALL ต้องกู้เงินถึง 6 พันล้านเหรียญสหรัฐมาใช้ในการซื้อกิจการ MAKRO แต่ก็มีหลายวิธีการจัดการภาระหนี้ โดยอาจนำสินทรัพย์ของ MAKRO จัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดย MAKRO มีสาขาในประเทศไทย 62 แห่ง ที่ดินส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ของบริษัท โดย 7 แห่งเป็นที่ดินเช่า ที่ดินที่ MAKRO มีอยู่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงเชื่อมั่นว่า CPALL ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะสามารถบริการจัดการหนี้ได้
นายธนินท์ มองว่า โอกาสตลาดค้าปลีกในประเทศไทยเติบโตตามภาวะเศรษฐที่ดีมาก เห็นได้ชัดจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ญี่ปุ่นและจีนหันมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น การท่องเที่ยวมีการเติบโต และกำลังซื้อของคนในประเทศมีมากขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ ซึ่งในอนาคตการที่ MAKRO จะเติบโตในประเทศก็มีโอกาสมาก และอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบสาขาเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย