ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการเติบโตของธุรกิจในพม่าในระยะแรกจะเป็นยอดขายฟีเจอร์โฟน หลังจากนั้นเมื่อมีการพัฒนาเครือข่ายที่ดีขึ้น ก็น่าจะทำให้มีการใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากก่อนหน้านี้ข้อตกลงสัดส่วนการถือหุ้น JMART 60% เอ็มเค กรุ๊ป 40% แต่ปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการถือหุ้นเนื่องจากมีบริษัทต้องการเข้ามาร่วมทุนเพิ่มขึ้น เป็น JMART 40% เครือสหพัฒน์ 20% เอ็มเคกรุ๊ป 30% และ SIS ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเอ็มเค กรุ๊ป 10%
"เราคาดว่าการจะลงทุนในช่วงนี้เป็นช่วงที่เหมาะสม และในเดือน ก.ค.ที่จะถึงนี้ มีสัญญาณให้เห็นว่าหมายเลขโทรศัพท์จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงมองว่าเป็นช่วงที่เหมาะแล้วในการเข้าไปลงทุน"นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าในปีนี้รายได้และกำไรจะเติบโต 40% ตามเป้าหมาย เนื่องจากมองว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจโทรมือถืออีกครั้งหนึ่งเมื่อมีการพัฒนาระบบ 3G บนคลื่นใหม่ ซึ่งบริษัทได้เตรียมการมากว่า 2 ปี เพื่อรองรับการขยายบริการ 3G
ในวันนี้บริษัทได้มีการร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทั้ง 3 รายรองรับการเปลี่ยนจากยุค 2G ไปสู่ 3G ด้วยการเตรียมเครื่องโทรศัพท์ที่รองรับระบบ 3G และอุปกรณ์ตามความต้องการของผู้ใช้ และลูกค้าสามารถแจ้งย้ายระบบภายในร้านสาขาเจมาร์ทได้ พร้อมทั้งเตรียมพนักงานที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี 3G ให้บริการแนะนำเพื่อให้สามารถใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
และยังมีการร่วมมือกับค่ายผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือต่าง ๆ เช่น LG ซัมซุง และ HTC ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ซึ่งทาง JMART ได้เตรียมแพ็คเกจโปรโมชั่นจากทุกค่ายมาให้บริการ
"จากอานิสงส์การเปิดให้บริการ 3G อย่างเป็นทางการจะทำให้เกิดความต้องการโทรศัพท์ที่ให้บริการ 3G เพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง JMART เล็งเห็นถึงจุดนี้ จึงได้มีการสต็อกโทรมือถือที่รองรับระบบ 3G ไว้ประมาณ 1.2 แสนเครื่องต่อเดือน แบ่งเป็นอินเตอร์แบรนด์ 1 แสนเครื่อง และเจโฟน 2 หมื่นเครื่อง"นายอดิศักดิ์ กล่าว