ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะธุรกิจของบริษัทฯเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งมีการเติบโตสูง เนื่องจากภาครัฐได้ส่งเสริมและให้ความสำคัญ โดยภาครัฐได้วางแผนยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไว้ว่าภายในปี 2560 ยอดการผลิตรถยนต์จะเกิน3 ล้านคัน ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังมีความเข้าใจต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีเป้าหมายและนโยบายที่ชัดเจน
ทั้งนี้ คาดว่า SANKO จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2556
"บริษัทฯ ได้รับทราบข้อมูลจากผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น SANKO ทั้ง 3 ราย คือ บล. ฟินันเซีย ไซรัส บล.โกลเบล็ก และ บล. อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) ปรากฏว่าทุกรายพูดเหมือนกันว่า หุ้นไม่เพียงพอกับความต้องการของนักลงทุน ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะนักลงทุนเข้าใจพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ดูได้จากกระแสตอบรับที่ดีในช่วง การเดินทางไปนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงกรุงเทพฯ ซึ่งนักลงทุนได้มีการสอบถามรายละเอียดการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นจำนวนมาก" นายนิมิต กล่าว
นายรัฐวัฒน์ ศุขสายชล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SANKO ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอลูมิเนียมและสังกะสีฉีดขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์ ฉีดหล่อความดันสูง (High-Pressure Diecasting หรือ HPDC) ให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องจักรกลเกษตร และอื่นๆ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน เน้นเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของลูกค้าและสามารถส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดทั้งนี้เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็มีความสามารถในการผลิตชิ้นงานได้หลากหลายเพื่อรองรับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ
ปัจจุบันลูกค้าหลักของบริษัทฯ อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็น 60% อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ คิดเป็น 20% อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าคิดเป็น 10% ที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลเกษตรและอื่นๆ
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 44 ล้านหุ้น คิดเป็นลค่าในการระดมทุนจำนวน 57.2 ล้านบาท บริษัทฯ จะนำไปขยายพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อทำการซื้อและติดตั้งเตาหลอมใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและลดค่าใช้จ่ายรวมถึงทำการทดลองติดตั้งเครื่องหล่อ โดยใช้แรงโน้มถ่วงและติดตั้งเครื่องกลึงที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อลดปริมาณการว่าจ้างบุคคลภายนอกในการตกแต่งชิ้นงาน
“บริษัทฯก่อตั้งมาแล้ว 17 ปี มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างมาก ขณะที่ทีมผู้บริหารก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจรวมถึงมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน ดังนั้นจึงเชื่อว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะทำให้บริษัทฯ มีการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับคืนมาให้กับผู้ถือหุ้นอย่างแน่นอน" นายรัฐวัฒน์กล่าว