ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าได้ต่อไป ถึงแม้ว่ามีความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก แต่การฟื้นตัวของภาคการผลิตในประเทศจะช่วยเพิ่มความต้องการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่า
บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น เป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในประเทศไทย โดยก่อตั้งในปี 2533 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 บริษัทได้ขยายธุรกิจสู่การให้บริการคลังสินค้าให้เช่าตั้งแต่ปี 2548 โดย ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีโรงงานให้เช่าจำนวน 106 หลัง และมีคลังสินค้าให้เช่าจำนวน 70 หลังซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมเป็นพื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้น 565,308 ตารางเมตร (ตร.ม.) ในช่วงปี 2550-2555 รายได้หลักของบริษัท (67%) มาจากการขายสินทรัพย์ของบริษัทเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ประมาณ 27% ของรายได้รวมมาจากค่าเช่าโรงงานและคลังสินค้า
ในระหว่างปี 2550-2553 บริษัทมีรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทีพาร์คโลจีสติคส์ (TLOGIS) ประมาณ 1,500-2,200 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2554 บริษัทได้เลื่อนการขายสินทรัพย์ส่วนหนึ่งเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นปี 2555 เป็นผลทำให้มูลค่าสินทรัพย์ที่ขายให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในปี 2554 ลดลงเป็น 944 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 4,333 ล้านบาทในปี 2555
ณ เดือนมีนาคม 2556 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทยังคงเป็น บมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (21.2%) กลุ่มผู้บริหารของบริษัท (6.0%) และกลุ่มซิตี้เรียลตี้ (6.5%) ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากผลงานการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ รวมทั้งความสามารถในการก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูปตามมาตรฐานในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งจากการใช้ทีมงานก่อสร้างของบริษัทเอง ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานสำเร็จรูปให้เช่ากระจายตัวในทำเลต่าง ๆ 10 แห่งและคลังสินค้าให้เช่าอีก 7 แห่ง รายงานของ CB Richard Ellis (CBRE) ระบุว่าบริษัทยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าในประเทศไทย ณ เดือนธันวาคม 2555 บริษัทและ TFUND มีส่วนแบ่งทางการตลาดของพื้นที่โรงงานให้เช่ารวม 57.7% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งรายอื่นเป็นอย่างมาก โดยคู่แข่งสำคัญประกอบด้วย บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน (16.5%) บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (12.3%) บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) (7.5%) บมจ.ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 (6.1%) ในปี 2555 ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงงานให้เช่าของบริษัทอ่อนตัวลงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยช่วงปลายปี 2554 หากไม่นับรวมผลกระทบจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวม พื้นที่โรงงานให้เช่าของบริษัทลดลง 5% ในปี 2555 ในขณะที่พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าของบริษัทเติบโต 44% ในช่วงเวลาเดียวกัน และหากไม่นับรวมผลกระทบจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวม บริษัทมีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นรวมสุทธิ 15% ในปี 2555 ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจคลังสินค้าช่วยลดผลกระทบจากธุรกิจโรงงานให้เช่าที่อ่อนตัวลง ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 บริษัทมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้น 8.9% จาก 518,948 ตร.ม. ณ สิ้นปี 2555 เป็น 565,308 ตร.ม. ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 โดยเป็นการเติบโตของพื้นที่โรงงานให้เช่า 10.8% และพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้น 7.0% ในปี 2555 บริษัทมีรายได้รวม 5,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178% จาก 1,999 ล้านบาทในปี 2554 รายได้ค่าเช่าของบริษัทเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2554 แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้รายได้รวมเพิ่มขึ้นมากมาจากการขายสินทรัพย์จำนวนมากเข้ากองทุน รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนในปี 2555 เพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าจาก 994 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 4,333 ล้านบาทในปี 2555 เนื่องจากการเลื่อนการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุนจากแผนเดิมปี 2554 มาเป็นปี 2555 อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์อุทกภัยช่วงปลายปี 2554 การเติบโตอย่างมากในส่วนของคลังสินค้าให้เช่าของบริษัทยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุน บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจาก 972 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 2,326 ล้านบาทในปี 2555 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงจาก 48.6% ในปี 2554 เป็น 41.9% ในปี 2555 โดยอัตราส่วนที่ลดลงมาจากโครงสร้างรายได้ที่แตกต่างกัน บริษัทขายสินทรัพย์เข้ากองทุนจำนวนมากในปี 2555 รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนเพิ่มขึ้นเป็น 78% ของรายได้รวมในปี 2555 จาก 47% ในปี 2554 และรายได้จากการให้เช่าซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนลดลงเท่ากับ 19% ของรายได้รวมในปี 2555 จาก 44% ในปี 2554 ในช่วงปี 2554-2555 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพิ่มขึ้นมากเพื่อใช้ในการขยายกิจการของบริษัทเพื่อรองรับความต้องการโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออกของประเทศ ภาระเงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 6,176 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 เป็น 10,600 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 อย่างไรก็ตามอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจาก 60.4% ณ สิ้นปี 2554 เป็น 57.3% ณ สิ้นปี 2555 เนื่องจากความสำเร็จในการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และการเพิ่มทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2555