ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายธุรกิจสินเชื่อบุคคลให้เป็นบริการวงเงินกู้เผื่อฉุกเฉินที่มีไว้เพื่อสร้างความอุ่นใจ ช่วยเสริมสภาพคล่องในยามจำเป็น โดยไม่ต้องมีหลักประกัน เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป สำหรับในปี 2556 ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตจากปี 2555 ราว 39-42% พร้อมตั้งเป้าหมายจำนวนบัตรรวมทั้งสิ้น 1 ล้านบัตร ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับแนวโน้มภาพรวมธุรกิจสินเชื่อบุคคล ยังคงเป็นตลาดที่มีโอกาสทางธุรกิจอยู่มากและคาดว่าภาพรวมตลาดสินเชื่อบุคคลในปี 2556 จะอยู่ที่ประมาณ 2.8 แสนล้านบาท หรือเติบโต 11% จากปี 2555 ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2556 ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าตลาดรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปี 2556 จะอยู่ที่ประมาณ 2.45 ล้านล้านบาท เติบโตจากปี 2555 ประมาณ 8.50% โดนธนาคารมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับตลาด สอดคล้องกับการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีศักยภาพอยู่ โดยเฉพาะตลาดในเขตหัวเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ
ขณะที่สัญญาณการเกิดฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารได้มีการประเมินสถานการณ์อยู่ตลอด พบว่า โดยภาพรวมยังไม่มีสัญญาณการเกิดฟองสบู่ที่ชัดเจนที่จะส่งผลต่อตลาดโดยรวม เนื่องจากอุปทานด้านที่อยู่อาศัยมีมากเกินความต้องการ (Over Supply) ยังไม่มีสัญญาณที่อาจจจะเป็นปัญหา ส่วนงราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น มาจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนค่าก่อสร้างเริ่มเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ยังเกิดจากราคาที่ดินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีการปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10.5% ส่งผลให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developer) ที่ซื้อที่ดินมาในราคาสูง ต้องดำเนินการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและขายออกไปในราคาที่สูงตามไปด้วย
ขณะที่สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยภาพรวมของตลาดลดลง นอกจากนี้ที่อยู่อาศัยที่ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทจะมีสัดส่วนของผู้ที่ซื้อด้วยเงินสดราว 30% และกู้เงินธนาคารราว 70% ขณะที่ที่อยู่อาศัยราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปมีสัดส่วนซื้อด้วยเงินสด 50% และกู้เงิน 50% จึงยังไม่น่าเป็นห่วงเรื่องการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อนำไปเก็งกำไรที่อยู่อาศัยเหมือนในอดีต ใส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ในปี 2555 กลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดขายต่ำกว่า 5 พันล้านบาท จะมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.10 เท่า ขณะที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดขายตั้งแต่ 5 พันล้านบาทขึ้นไป จะมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.54 เท่า นับว่าบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีส่วนของทุนสูง สามารถรองรับปัญหาและสภาพคล่องได้ดีกว่าเดิมมาก